วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การยืด การดึงส่วนต่างๆในภาพ หรือทำหน้าเรียว ps


ไม่ได้เขียนบทความมาสักพักและ
วันนี้จะมาเขียนเรื่อง การยืด การดึง ส่วนต่างๆของภาพ
อาจจะไม่คุ้นกับชื่อนี้..
แต่จริงๆแล้ว มันก็คือ การทำหน้าเรียวนั้นเอง
ที่หลายๆคนรู้จักนั่นเอง

โดยการยืดหรือดึงที่ว่านี้ สามารถจะนำไปใช้ได้กับ
ทุกส่วน ทุกสิ่งในภาพ
ไม่ว่าต้องการจะทำปากเล็ก
จมูกแบน จะจมูกบาน อะไรต่างๆ
ลองนำไปเล่นกันดูเองนะครับ

อุปกรณ์ที่ต้องมี
1. รูปที่จะทำการยืด หรือดึง
2. photoshop cs อะไรผมไม่แน่ใจ
แต่ตัวผมใช้ 5 (น่าจะมีทุกเวอร์ชั่น)

ต้องบอกก่อนว่า สมัยก่อน
ผมก็ไม่ใช่นะ ไอวิธีนี้ เพราะมันดูหลอกๆยังไงไม่รู้
แต่พอไปเจอบางคน มันก็ดูอ้วนหรือดูยานเกินความเป็นจริงครับ
เพราะฉะนั้น เราเลยรู้สึกว่า สมควรที่จะต้องมาใช้อย่างจริงจังและ


เอาหล่ะ มาเริ่มเลยย...

1. เริ่มต้นด้วยการเปิด photoshop ขึ้นมา



2. แล้วเลือกรูปที่เราต้องการจะแก้ขึ้นมาครับ
และให้ดูคำว่า "filter"



3. กดคลิ๊กเข้าไป แล้วหาคำว่า Liquity แล้วคลิ๊กเข้าไปเลยย



4. แล้วก็จะพบหน้าตาแบบนี้


ให้กด ตรงรูปนิ้ว เลข 1 ที่ผมวงไว้
แล้วจะปรากฎวงกลมขึ้น ตามเลข 2
วงกลมนี่แหละ ที่เราจะใช้บีบ ยืด ดึงหน้า
(ทริค ขนาดของวงกลมนี้ เราสามารขยายได้โดย กดตัว "บ ล" ที่แป้นพิมพ์ของเรา)
แล้วเราก็เล็งไว้ว่า เราจะบิดหน้าตรงไหน
* ถ้าบิดผิดพลากไป ให้กด ctrl ค้าง + กด z ครับ


เมื่อรู้แล้วว่าจะบิดตรงไหน ก็นำวงกลมไปวางไว้
ตรงบริเวณที่เราจะดึง ยืด หรือบีบ
แล้วก็ทำการลากครับ ลากเข้าคือบีบเข้า
ลากออกคือ ดึงหน้าออก
(อันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น)
ค่อยๆลากครับ แรกๆอาจจะยังไม่เนียน
แต่หลังๆ จะชำนาญขึ้นเอง


ผลลัพธ์คือ
ซ้ายคือรูปแรก ขวาคือรูปหลังทำ


แต่เมื่อเราลากไปสักพัก เราจะพบว่า
บางทีเวลาเราดึง ส่วนที่อยู่ข้างๆ มันเบี้ยวไปด้วย
แล้วจะทำยังไง ดูตัวอย่างไปเลยครับ

ผมจะแนะนำเครื่องมือตัวนี้นิดนึง
ซึ่งก็คือ freeze mask tool
(มือใหม่อาจจะยังไม่ต้องใช้ freezing ก็ได้นะครับ
เพราะมันจะกะยากกว่าปกติ แต่สอนไว้ให้เผื่อเป็นความรู้)
มันมีไว้เพื่อ กันส่วนที่ไม่ต้องการให้ส่วนนั้นโดน
เวลาเราต้องการจะดึงหน้า หรือยิดหน้า
ยังไง เดี่ยวรอดูรูปต่อไปครับ


เช่น เวลาเราจะลากหน้า โดยที่ไม่ใช้ freezing
จากรูป ผมต้องการจะดึง จอน เข้า แต่มันดันติดหูมาด้วย
ทำให้หูก็ยืด เสียรูปไปด้วย
เลยทำให้เราต้องใช้ freezing 
โดยทำการ ลากวงกลม freezing
ลงไปในบริเวณที่เราไม่ต้องการจะให้มันถูกบิดไปด้วย
ดูรูปต่อไปครับ



พอเราลาก freezing มันก็จะเป็นแดงๆ ดั่งรูปที่เห็นครับ
ตรงสีแดงๆ คือ สิ่งที่เราไม่ต้องการให้มันบิดไปด้วย เวลาเราจะดึงตรงจอนครับ
แล้วดูผลต่อมา


ผลคือ ไม่ว่าเราจะดึงจอนแค่ไหน
แต่ตรงที่เราลากสีแดงๆ freezing ไว้
จะไม่ขยับเลยแม้แต่เดียว



และเมื่อเรารู้แล้วว่าต้องการจะดัดตรงไหนบ้าง
เราก็ลองลากเข้าลากออก ในส่วนที่เราต้องการจะแก้ทรงมันครับ ดูตัวอย่าง


หลังจากที่ลากเสร็จแล้ว
ไม่มั่นใจว่า จะโอเคไหม ก็ลองลบสีแดงๆออก
แล้วเก็บรายละเอียดอีกทีครับ
โดยวิธี thaw mask tool
เมื่อกดเข้าไปแล้ว ก็นำวงกลมมาลบสีแดงๆ
แล้วก็มาดูครับว่า ตรงใจเรารึยัง
ถ้ายังก็กดที่รูปนิ้้วชี้บนสุด ซ้ายมือ (แทบเครื่องมือ)
แล้วละเลงเลย



ลองไปทำกันดูนะครับ
หวังว่าจะสนุกกัน และได้ประโยชน์จ้า
เอาไปใช้บีบหน้า หู ตา จมูก ปาก 9ล9 นะจ๊ะ

#ทำหน้าเรียว photosgop

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทวดาประจำตัวว..



จริงๆ ผมได้รู้จักกับพี่ท่านนี้มานานแล้ว
แต่ชื่อนี้ เพิ่งได้มาไม่นานนี้ครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า
ทำไมถึงต้องเรียกว่า "เทวดาประจำตัว"
ชื่อนี้ แม่ผมเป็นคนตั้งให้.. เมื่อไม่นานมานี้

มันน่าแปลกไหมครับ ?
ในเวลาที่ผมท้อ ในเวลาที่ผมเจอทางตัน
อยู่ดีดีจะมี คนโผล่มาคอยช่วย คอยแนะนำ
คอยบอกวิธีอยู่ตลอด ทำให้เรามีกำลังใจลุยต่อ
มีกำลังใจค้นคว้า มีกำลังใจพัฒนาตัวเอง

ผมก็เลยมานั่งนึก...
ชื่อนี้แหละ เหมาะสม ที่สุดแล้ววว

มันเป็นยังไง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง
เรื่องนี้ ค่อนข้างยาว แต่อยากจะเขียนให้
(เพราะเมื่อกี้เพิ่งคุยกับพี่เขามา และก็ได้ความรู้อีกเช่นเคย)



สมัย ผมเรียน ม6 
ผมก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมากครับ
เรียนก็ไม่ถึงกับดี แต่ก็ไม่แย่ส๊ะทีเดียว แต่จะมีวิธีเอาตัวรอดเสมอ
แล้วก็เอาตัวรอดจน จบ ม6 มาได้
ช่วงนั้น ผมเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเองเลย
ผ่านก็ดวง ไม่ผ่านก็ดวง เจอเรื่องอะไรไม่ดี ก็ดวง เจอเรื่องดี ก็ดวง



จนได้เข้าสู่รั้วมหาลัยรามคำแหง 
...สาขานิติศาสตร์...
เทอมแรก ผมก็ไปเรียนตามปกติครับ
เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แต่ผมจะเป็นคนว่าเกเรแค่ไหนก็จะไม่โดดเรียน
แล้วก่อนสอบก็อ่านหนังสือ ท่องตัวบท แบบลวกๆ
ไปสอบ ปรากฎว่าเทอมแรก สิ่งที่ผมช็อคคือ
ลงไป 6 วิชา ผ่าน 4 ตกทรัพย์กับมหาชน
แต่ตัวที่มันทำให้ผมหึกเหิมมากที่สุด คือ G นิติกรรม
เพราะวิชานั้น คนตกเยอะครับ แล้ว G ไม่กี่คนในห้อง
มันเลยทำให้ความมั่นใจเรามาสูงปี๊ดดดดดดดดดด (เกินไป)
ซึ่งไอความมั่นใจนี้เอง มันประกอบด้วยสิ่งที่ดี และในขณะเดียวกัน
มันก็มีสิ่งที่ไม่ดีแฝงอยู่ เพราะมันจะทำให้เราเหลิง และผงาดแบบโง่ๆครับ
(ผมโชคดี ที่ตัวเอง ได้ผ่านจุดนั้นมาหลายรอบ ณ ตอนนี้ มันก็เลยเฉยๆกับสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว)
ตอนนั้น เราก็ผงาดครับ เพราะก็คิดในใจว่า ก็พอตัวอะ !!!

แต่ด้วยความที่ตกทรัพย์ แล้วเราจะทำยังไงดีว่ะ
มันไม่เข้าใจอะ จะให้ทำยังไง
(จำได้ว่าตอนสอบรอบแรก) จะไม่ไปสอบแล้ว
ร้องไห้ ไม่อยากท่องตัวบท (ท่องคืนก่อนวันสอบ)
แล้วก็มาท่องอีกตอนเช้า แล้วด้วยความที่มันรน มันยิ่งจำไม่ได้
เข้าห้องสอบไป ก็ต้องไปนั่งนึก นั่งมโนอีก
ข้อสอบไม่ยากครับ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า "เราควรมองอะไรก่อน"
แล้วสุดท้ายก็ตก...


สุดท้าย จำได้ว่า เอ๊ะ ในห้องเรามีพี่คนนึง "ชื่อพี่ดุ่ย"
(วิชานั้น เรียนด้วยกันครับ) ได้ยินเขาพูดๆกันอยู่
(ชื่อเสียงระดับเซียน) ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เราก็เลย เข้าไปหาพี่เขา ให้เขาติวให้หน่อย
พี่เขาก็ยินดีนะครับ ไม่เคยปฏิเสธ แล้วก็นัดกันมาติว
ระหว่างที่ติว เพื่อนพี่เขาก็มาครับ 
แล้ว ผมก็ได้ยินประโยคประโยคนึง ที่มันแทงใจผม
"คนที่ผ่านๆมาอะ ดีไม่ดี ก็ยังไม่รู้เลยว่าผ่านเพราะอะไร"
แต่เขาไม่ได้พูดกับผมนะ พูดกับเพื่อนเขา
และเขาก็ถามผม เป็นเชิงว่า รู้ไหมว่า ถ้าโจทย์มันมาแบบนี้
จะตอบว่าอะไร (นิติกรรมที่ผมได้ G นี่แหละครับ)
แล้วถ้ามันเปลี่ยนเป็นแบบนี้หล่ะ จะตอบว่าอะไร ?
แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบจากผมนะครับ ผมก็ตอบไม่รู้ไป ฮ่าๆ

แต่ !!!!
มันเลยทำให้ผมย้อนกลับมาคิด
"เออจริงหว่ะ เราผ่านมาเรายังไม่รู้เลยว่าได้ G เพราะอะไร"
แล้วคำตอบที่เราตอบมันถูกไหม..
มันเกิดคำถามลึกๆครับ
แล้วมันก็ทำให้ ดร็อปความมั่นใจของผมไปเยอะครับ
ซึ่งผมว่าดีนะ (อย่างที่บอก ความจริงมันมักเจ็บปวดครับ ฮ่าๆ)



มันก็เลยทำให้ผมเริ่มที่จะเปลี่ยนมุมมองในการเรียนใหม่
ว่า.. เวลาเราทำอะไร ควรจะต้อง ทำจริง รู้จริง
ให้สมกับที่เราผ่านมาได้จริงๆ เวลาใครถามจะได้พูดได้หน่อย
ไม่ใช่ใครถาม ก็ไม่รู้ ผ่านมาได้ยังไงก็ไม่รู้
(จนหลังๆ พอออกจากห้องสอบนี่ คือ รู้เกรดรอแล้วอะครับ)
ไม่ต้องรอติดประกาศ (ประมาณ 80% ของที่เรียน)
- ไปแอบดูข้อสอบอาจารย์ใช่ไหมเลยรู้เกรด ใช่ ถรุ๊ยยย
คือเราอ่านมาจนแม่น แค่เห็นคำตอบ ก็รู้แล้วว่าต้องตอบอะไร
แล้วสุดท้าย ผมก็ผ่านวิชาทรัพย์มาได้ในที่สุด
(วิชามหาชนไม่พูดถึงนะครับ ณ ตอนนั้น ใจในการอ่าน ความรู้ในการเรียน
มันยังไม่เยอะ เพราะฉะนั้น วิชาเขียนจะไม่ชอบเลยครับ อัดแต่วินิจฉัย)

หลังจากนั้น ผมกับพี่ดุ่ย ก็เริ่มสนิทกันครับ
ผมก็จะขอตามพี่เขาไปด้วย เวลาติวกันที่ไหน ผมก็จะขอตามไปฟังตลอด
(เดิมก่อนหน้านี้ เรียน..ไม่เคยติวครับ ใครจะไปคิดว่าจะมีติวกันเองด้วย)
หลังจากที่เราฟังพี่เขา เราก็รู้สึกว่า..
เขาเก่ง แล้วแถม พูดรู้เรื่องเหว้ย อธิบายง่าย และจะเป็นคนติวให้แทบทุกวิชา
นี่แหละ โดน !!!! ใจคิดยังไงเหรอครับ.. อยากเป็นบ้างครับ แม่งโคตรเจ๋ง
มันเลยวัยแล้วครับ ที่ตีต่อยกัน = เจ๋ง มันกลายเป็น = เจ๊ง
การมีความรู้ การเผยแพร่ความรู้ การทำให้คนอื่นเข้าใจ = เจ๋ง ครับ

ชีวิตผม ผมเจอคนเก่งมาก็ไม่น้อย
แต่คนที่จะเก่ง.. อธิบายให้คนโง่ๆฟังได้.. คิดแบบมีขั้นมีตอน.. มีเทคนิคบอก..
ทุกอย่างมีการวางแผน.. แล้วก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยนะครับ
ถ้าน้องๆ จะติว พี่ดุ่ยไม่เคยมีปัญหา เต็มใจมาทุกครั้ง ไม่เคยมีเรื่องเงินครับ
และก็สามารถพาทุกคนผ่านได้ ผมไม่เคยเจอครับ
มันเลยทำให้ผมประทับใจในตัวพี่คนนี้มาก
แล้วก็มีเป้าหมายว่า "เราอยากจะต้องมาเป็นคนติวที่เหมือนอย่างนี้ให้ได้บ้าง"
(จุดประกายมันเริ่มจากแค่ตรงนี้ครับ)
*หนังสือ หากจะให้มีคุณค่า ควรเขียนมาเพื่อให้คนไม่รู้อ่าน
แต่หากจะเขียนแต่อ่านเอง ก็เก็บไว้เถิดดดดดดดดดดดดด*



...จุดเปลี่ยน...
หลังจากที่นึกแล้ว ว่าเราอยากเป็นเหมือนเขา แล้วเราจะต้องทำยังไงหล่ะ ?
และถ้าวันนึง เราไม่มีพี่ดุ่ยติวให้ เราจะทำยังไง คำตอบของผมคือ
งั้นเราก็ต้องสร้างสังคม แห่งการติวขึ้นมาเองครับ โดยเราจะติวเอง
ตรงนี้ มันทำให้ผมพัฒนาตัวเองขึ้นมากครับ
การจะมาติวได้ ต้องอาศัยความเข้าใจที่เยอะมากครับ
ตรงนี้มันก็เลยสร้างแรงผลักดันให้ผมขยันมากขึ้น
เพราะคนพูดจะต้องเข้าใจก่อน ถึงจะสื่อออกมาได้
"แต่ไอนิสัยที่พูดยังไงให้คนอื่นเข้าใจ" ส่วนตัวผมมองว่า
มันฝึกกันได้ครับ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า "เวลาเราพูด เราจะมองคนฟังว่ายังไง"
1. ทำไมคนฟัง ฟังเราพูดไม่รู้เรื่องว่ะ เราก็พูดดีแล้วนะ
2. ทำไมคนฟัง ฟังเราไม่เข้าใจว่ะ แสดงว่า เราพูดไม่ดี งั้นเอาตัวอย่างใหม่
ถ้าเลือกแบบที่ 1 คุณย่อมเป็นคนอธิบายคนไม่ได้แน่นอนครับ
แต่ถ้าเลือกแบบที่ 2 ไม่นาน คุณก็จะพัฒนาได้ครับ
(2 ข้อนี้ ไม่ได้มีใครบอกครับ มาจากการตั้งคำถามของตัวเองครับ
และประกอบกับการสังเกตการติวของพี่ดุ่ยครับ เขาจะพยายามยกตัวอย่างที่ง่ายขึ้น
ง่ายขึ้น จนเราเก็ตเองครับ)
และตรงนี้เองก็พัฒนาในการพูดของตัวผมมากขึ้น
ยิ่งคุณพูดมากเท่าไหร่ คุณจะได้ทบทวนในวิชานั้น
ความรู้คุณจะยิ่งแม่นกว่าเดิม อีกหลายเท่า
นี่ คงเป็นคำตอบนึงว่า ทำไมบางวิชา ผมใช้เวลาตอบข้อสอบไม่ถึง ครึ่ง ชม ผมออกแล้ว
(ผมก็แอบหาประโยชน์จากการไปติวคนอื่นนี้แหละครับ อิอิ
เพราะมันคือช่องการทบทวนความรู้ของผม)

พอเราเริ่มอ่านหนังสือมาก เริ่มติวมาก
แน่นอนครับ ผลที่ตามมาคือ สอบผ่าน
และมันก็ผ่านมาตลอด จากเทอมแรกที่ ตก 2
หลังจากนั้น ผมเรียนมาไม่เคยตกเลย มีแค่ G กับ P แค่นั้น
และแน่นอนเมื่อ สอบผ่านมากขึ้น
ความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตัวเรา ก็เกิดขึ้นครับ
จากเดิมที่เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ ก็อ้างโชคดี,ร้าย
เดี๋ยวนี้ เราก็เลยเปลี่ยนจากการอ้างโชคเป็น
ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเกิดขึ้นเพราะ"เราทำ"
ตรงนี้ เลยกลายเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ผมเชื่อว่า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องทำได้ครับ และกำหนดมันได้
(เป็นคุณ จะคิดยังไงครับ กับเด็กที่เคยสอบตกบ้าง ผ่านบ้าง ไม่รู้อะไรเลย
จนมาวันนึง คิดจะลงวิชาอะไร ก็สอบผ่านหมดทุกวิชา)
ถ้าใช้คำว่า "โชคดี" ก็อาจจะเกินไปครับ
แต่ควรใช้คำว่า "ฝีมือ" มากกว่าครับ
แต่ !!!! ทั้งนี้ ความสามารถของท่านนั้น ต้องสอดคล้องไปกับ "จังหวะ" ด้วย
-ต้องขอขอบคุณพี่ดุ่ยอีกเช่นเคย-

ทำไมผมถึงพูดว่ามันต้องมีเรื่องของ"จังหวะ"ด้วย
วิชานึง ที่ขึ้นชื่อ คือ รัฐธรรมนูญ
วิชานี้ ปราบเซียนครับ บางคนลงถึง 8 รอบ ผมลงไป 2 รอบ (ถ้าจำไม่ผิด)
รอบแรก ลง ลงแบบตั้งใจแต่ให้ตัวเองสัก 60% พอ
(แต่ต้องบอกนะครับ ว่าอ่านเยอะพอตัว รัฐธรรมนูบปี 50 ไล่อ่านมาเกือบทั้งเล่ม)
แต่ข้อสอบที่ออกมายากมากครับ ไม่เข้าทางเลย คิดยังไงก็คิดไม่ออก
(ต้องบอกว่า ตอนนั้น skill ในการแถ ยังไม่ค่อยมีด้วยครับ)
รอบซ่อม ก็ล่วงครับ เจอคำถามอย่างนี้เข้าไป เครียด
พอรอบสอง คราวนี้ตั้งใจครับ เอาให้เต็มที่
แต่อ่านไม่หนักเท่ารอบแรกนะครับ แต่ความรู้เดิมยังอยู่
นัดเพื่อนติวกันทั้งหมด 4 คน ติวซ้ำไปวนไปวนมา
ม 156 กระทู้ , ญัตติ , กรรมาธิการ,อภิปรายไม่ไว้วางใจ, ถอดถอน
(สิ่งเหล่านี้ จะคงหลอนในสมองผมถึงทุกวันนี้ครับ)
ติวกันหูตาเหลือกจริงๆครับ
พอถึงห้องสอบ เข้าไป เห็น 4 ข้อ
รู้สึกรอบนั้นจะทำได้ทุกข้อครับ
ตรงนี้ คือ สิ่งที่ผมจะสื่อว่า จังหวะ เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะต่อให้เรารู้เยอะแค่ไหน แต่ถ้าออกมาในสิ่งที่เราไม่รู้เราก็ตกครับ
แต่เมื่อวันนึง คุณอ่านมาเยอะจริงๆ อยู่ในแวดวงที่มีเทคนิคมาบอก จะรู้เองครับว่า
ถึงแม้เราจะไม่มีความรู้ในคำถามที่ถาม 
แต่เราสามารถตอบข้อสอบได้อย่างไม่น่าเกลียด (และเยอะด้วย ฮ่าๆๆๆๆ)
สุดท้าย ผมก็ผ่านวิชานั้น จากที่ติว 4 ผ่าน 3 ครับ รอบนั้น
ทุกคนแฮปปี้มาก มันเลยทำให้ผมมองว่า "วิชาที่ทุกคนว่ายาก
ผมว่าผมสามารถหาหลักมาทำให้มันผ่านได้" และหลังจากนั้น ถ้าเป็นวิชารัฐธรรมนูญ
ผมก็จะรับหน้าที่ตลอด และส่วนใหญ่ที่ติวมาก็จะผ่านหมดครับ
แต่รอบนั้น ผมก็เชื่อว่า จังหวะ มีส่วนมากอยู่ แต่จังหวะยังไม่สำคัญเท่าการเตรียมตัวของเรา
ผมมองว่า สิ่งสำคัญมันคือ.. เราทำมันมาเต็มที่รึยัง
ยิ่งเราทำเต็มที่เท่าไหร่.. ยิ่งสร้างจังหวะ และโอกาสให้เรามากขึ้นเท่านั้นครับ

พอผ่านรัฐธรรมนูญได้ ถึงกับฟิตเลยครับ
เพราะรอบนั้น จำไม่ผิด ผ่าน 13 คน ใน 100 กว่า
-ต้องขอขอบคุณพี่ดุ่ยอีกเช่นเคย-

ระหว่างเรียน ผมไม่ได้นั่งเรียนอย่างเดียวนะครับ
เรียนเป็นเรียนครับ เลิกเรียน มาบ้านผม ติวกันสัก 1 ชม หลังจากนั้น
เหล้า ยาวววครับ ตี 5-6 โมงเช้ากลับบ้าน ตื่นไปเรียน
(ระหว่างรอเรียน และรอกลับบ้าน ช่วง4โมงกว่า และช่วง 3 ทุ่ม เราจะนั่งกันหน้าตึก
คุยกันแต่เรื่องกฎหมายครับ ได้ความรู้ใหม่ๆตลอด มันเลยทำให้ผมชอบคุยเรื่องความรู้กับคนอื่น
ติดเป็นนิสัยมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หลังๆ ก็ไม่ค่อยมีคนคุยด้วยครับ เลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุย ฮ่าๆ)
ช่วงนั้น ชีวิตเป็นแบบนี้ครับ
ถือว่าใช้คุ้มแล้วครับ ชีวิต ตอน ป. ตรี




การสังเกต
อันนี้ ผมได้มาจากพี่ดุ่ยหลายอย่างครับ
ผมมองว่า การที่คนเราจะเก่งได้ สิ่งสำคัญ (ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก) คือ การสังเกต
หลังจากที่ผมคุยกับพี่ดุ่ย
การที่เขาจะอธิบาย ส่วนใหญ่จะมีเทคนิคให้ตอน พร้อมทั้งจุดให้สังเกต
ไม่ใช่สอนได้ แต่เพียงลมๆ ลอยๆ ไม่มีหลักเกณฑ์
เหมือนการอ่านฎีกา ผมประยุกต์แนวคิดพี่ดุ่ยมาไม่น้อยเลยครับ
สำหรับเรื่องการสังเกต แต่ก่อนอ่านฎีกา ก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง
อ่านแล้วไม่รู้ว่า เขาพูดถึงอะไร แต่พอเริ่มสังเกต ก็จะเห็นเองว่า
ทุกอย่างมันจะมีคำตอบในตัวมันอยู่ และมันอยู่ในฎีกา นั้นแหละครับ

และที่ผมตกใจ มากคือ เกมส์ ragnarok นี่แหละครับ
ตอนนั้นก็คุยกันกับพี่ดุ่ย เพราะพี่ดุ่ยก็เล่น 
แต่ตัวผมเอง กลับเป็นฝ่ายที่ถูกเกมส์ กินเงินไป
แต่พี่ดุ่ย กลับเป็นฝ่ายที่หาเงินจากเกมส์ได้อย่างมาก
ซึ่งพอผมได้ฟังวิธีการ แล้วผมถึงกับตกใจมาก
พี่ดุ่ย เล่าให้ฟังได้เลยว่า boss ตัวนี้จะเกิดเวลาไหน
ตัวไหน ควรจะเข้าก่อน ตัวไหนควรจะเข้าตาม ต้องจบให้ได้ตอนไหน
ผมฟังเท่านี้ ถึงกับช็อค เพราะโอ้โห มีทั้งเทคนิค และสำคัญ คือการวางแผน
(นีี่ขนาดเกมส์นะครับ คนเรายังมองต่างกันได้ขนาดนี้ OMG !!)

การวางแผน ตรงนี้
 ตอนเรียนผมไม่เคยวางแผนอะไรเลยนะครับ
จนมาเจอพี่ดุ่ย พี่ดุ่ยวางแผนการเรียนให้ ว่าเทอมนี้ควรจะลงอะไรบ้าง
และควรจะเก็บตัวไหนให้ได้ก่อน เพื่อจะไปต่อยอดตัวไหน
ทั้งหมดนี้ ก็คือเพื่อประหยัดเวลา และให้ไปถึงเป้าหมายต่อไปของเรา ได้อย่างง่ายดาย
การวางแผนตรงนี้ เมื่อพี่ดุ่ยวางแผนตอนต้นให้ผมแล้ว ผมก็นำมันไปต่อยอด
จนผม จบป.ตรีมาได้ ด้วยเวลาไม่นานนัก (ตามเป้าที่วางไว้)

ตรงนี้ พอเราทำตามที่เราวางเป้าไว้ได้
พอเราเชื่อในตัวเราแล้ว ว่าเราเองกำหนดชีวิตได้
มันก็เลยทำให้ผมเชื่อว่า "ผมต้องทำได้ครับ"
ปัญหาที่ว่าใหญ่ มันก็จะดูเล็กลงไปนิ๊สสสครับ

ผมได้อะไรเยอะมากครับ จากพี่ดุ่ย
หลังจากที่หลายคนก็เริ่มจบไปแล้ว
ก็ต่างแยกย้ายครับ
แต่ผมก็ยังติดต่อกันอยู่ตลอดนะครับ
ถ้าว่างก็จะทักไปหาแก เสมอ ชวนมานั่งเล่น
นั่งกินอะไรกัน ตามภาษาเด็กๆ
แต่หลังจากที่ผมไปเรียน ป.โท
งานก็เยอะขึ้นครับ ก็เลยจะไม่ค่อยได้คุยกับพี่เขาเท่าไหร่
แต่มีอยู่วันนึง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เทวดาประจำตัวนี่แหละครับ"
คือวันนั้น ผมเครียดเรื่องภาษาอังกฤษมาก แต่ในขณะที่เครียดมาก
ก็แปลมันไปนะครับ แปลมันไปแบบไม่มีหลักมีเกณฑ์ มั่วๆไป
จนวันนั้น ถ้าจำไม่ผิด พี่ดุ่ยทักมาทาง facebook
ถามว่า ทำอะไรอยู่ แล้วผมก็บอกว่า แปลศัพท์ครับพี่
แล้วผมก็ช่วยให้พี่ดุ่ยดูให้หน่อย หลังจากนั้น พี่ดุ่ยก็อาสาว่าจะโทรมา
แล้วหลังจากนั้น ก็คุยกันยาวครับ (เกี่ยวกับการแปลศัพท์เนี้ยนะครับ)
วันนั้น มันเลยทำให้ผมได้วิธีการ เทคนิค การสังเกต ฯลฯ จากพี่ดุ่ยเยอะมากครับ
- ต้องขอบคุณพี่ดุ่ยอีกครั้งครับ-

มันน่า งง ไหม ครับ
ในวันที่เราท้อใจมากที่สุด ในวันที่เรารู้สึกว่า เห้ยเราทำไม่ได้แล้ว
กลับมีคน คนนึง ถามมา แล้วพร้อมที่จะสอนเรา
ผมนี่ งง เลยครับ วันนั้นเลยไปเล่าให้แม่ฟัง..
แม่เลยบอกว่า "แม่ว่า เขาคงเป็น เทวดาประจำตัวแคมป์แล้วแหละ ฮ่าๆ"
ผมก็คิดว่า เออเนอะ ในยามที่ขับขัน พี่ดุ่ยก็จะเข้ามาถูกจังหวะ
และมาสร้างกำลังใจ สร้างเทคนิค สร้างความรู้ให้เราเสมอ
มันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกครับ แล้วมันก็เป็นไปแล้ว

แล้วเมื่อเช้านี้เอง พี่ดุ่ยก็โทรมาจากเมกา
แล้วก็คุยกันเรื่องภาษาอังกฤษนี้แหละครับ
พี่ดุ่ยยังสอนเทคนิคอะไรอีกมากมาย
ซึ่งวันนี้เอง ทำให้ผมได้ความรู้เยอะมาก
จากที่เราไม่เคยสังเกตเลย เราได้จุดสังเกตและ
เรารู้ว่า เราควรจะอ่านอะไรก่อน อ่านอะไรหลัง
สุดยอดครับ


จุดเริ่มต้นในการ...พัฒนาของผม
มันเกิดขึ้นแค่ จากการ อยากเป็นอย่างเขาบ้าง เท่านั้นเอง
แต่การจะเป็นแบบเขา ก็ยังคงมีความเป็นตัวเรา อยู่ในนั้นครับ ไม่ทิ้ง ;)
และจากสิ่งที่ได้รับจากพี่ดุ่ย ในเรื่องความมั่นใจ และความเชื่อในความสามารถ
มันเลยทำให้เรา เลือกทำอะไรได้หลากหลายขึ้น จนเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ครับ 

ศิษย์สำนัก ดุ๊กดุ่ย
ที่เขียนนี้
ไม่ได้จะประจบประแจงหรืออะไร ใครอยู่กับผมมาจะรู้ว่า
"ผมไม่ใช่คนที่ชอบประจบใครเท่าไหร่"
แต่ถ้าพูด.. ก็พูดมาจากใจจริงๆ
อันนี้ กะจะเขียนนานแล้วครับ
พอดีช่วงนี้ได้เขียนบล็อค เลยเอาส๊ะหน่อย ฮ่าๆ
หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้พี่ดุ่ย
ผมเชื่อว่าพี่ดุ่ย ทำได้อยู่แล้วพี่ ;)
รีบกลับมาครับ ว่าที่มหาบัณฑิต แล้วมาลุยเนด้วยกัน ฮ่าๆ

ผมถึงมักจะพูดกับตัวเองเสมอว่า 
ถ้าไม่เจอพี่ดุ่ย ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง
ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ที่จะเจอคนที่มาเปลี่ยนความคิดของเราได้
(ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จริงๆ)
จริงๆมันมีอีกหลายอย่างครับ แต่ผมนึกไม่ออก
อันนี้เท่าที่คิดออกนะครับ อิอิ
ขอบคุณอีกครั้งครับ

แล้วคุณหล่ะ 
มีเทวดาประจำตัวของคุณรึยังจ๊ะ ?

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ฝึกฝน ภาษาอังกฤษ..


พอดีวันก่อนได้คุยกับพี่สาว เรื่องภาษาอังกฤษไว้
แล้วก็บ่นให้พี่สาวฟังว่า ปวดหัว กับภาษาอังกฤษมากครับ จะทำยังไงดี
พี่สาว ก็เลยแนะนำ ให้ลองใช้วิธีนี้...
นั่นก็คือ " Bangkok Post learning"
#ขอบคุณพี่สาว ที่ทำให้รู้จักช่องทางนี้ครัชช

หลายคนอาจเคยได้ยิน (ผ่านไปเลย)
แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ยิน แล้วมีเวลาว่าง
อยากจะฝึกฝนภาษาอังกฤษ
(แต่จะเป๊ะหรือไม่เป๊ะนี่ผมไม่ทราบนะครับ)
ลองนำไปใช้กันดูครับ
เท่าที่ ผมลองใช้ มาเมื่อกี้ ประมาณ 2วิ ที่แล้ว (เร็วเกิ๊นนนน)
ต้องบอกว่า ยอดเยี่ยมครับ สาเหตุเพราะ
1. มันเป็นข่าวจริง 2. ได้ศัพท์ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นโดยตรง
แล้ว 2 สิ่งนี้มันจะทำให้ผมได้ศัพท์อย่างรวดเร็วมากครับ
แต่ตรงอื่น ผมก็ยังไม่ได้ลองใช้นะครับ
อันนี้จะเป็นการแนะนำในเบื้องต้น และเปิดโลกทัศน์แก่ผู้ไม่รู้เท่านั้น

มาเริ่มกันครับ
(การเขียน ผมจะเขียนอธิบายด้านบน รูปด้านล่างนะครับ)
ให้เข้า Google แล้วพิมพ์ Bangkok post learning from news
เห็นที่ผม วงแดงๆ ไหม นั่นแหละ คลิ๊กเลย


พอเข้ามาก็จะเจอหน้าอย่างนี้ครับ


ดูตรงนี้ (เนื่องจากผมยังไม่ค่อยได้ศึกษาเยอะ ผมก็จะแนะนำอะไรไม่ได้มากนะครับ)
ที่ผมวงไว้ สีน้ำเงิน จะเป็นโหมด มีแบบอย่างง่าย ,ง่าย ลองศึกษาดูนะครับ
ส่วนสีชมพู จะเป็นข่าว ผมจะลองคลิ๊กเข้าไปที่ข่าวนะครับ


 พอลองคลิ๊กเข้าไป ข่าวแรกนะครับ koh tao morders
พอเข้ามาก็จะพบหน้าจออย่างนี้ครับ


ลองเลื่อนลงมานิดนึงครับ
สังเกต ตรงเส้นแดงที่ผมขีดไว้นะครับ มันมีอะไรอยู่
(มีอะไรเหรอครับ เดี๋ยวผมจะลองเอาเม๊าไปค้างไว้นะครับ ดูรูปต่อไป)


เห็นอะไรไหมครับ
พอเรานำเม๊า ไปวางค้างไว้/บางทีอาจต้องคลิ๊ก
จะเห็นว่า มีอะไรขึ้นมา..
นั่นคือคำแปลครับ


และยิ่งไปกว่านั้น
พอเลื่อนลงมาอีกจะพบ
ใช่ครับ เรายังสามารถ ฟังเสียงข่าว แบบภาษาอังกฤษได้ด้วย
(ข่าวที่พูด มาจากที่เขียนไว้ข้างบนในหน้านั้น นั่นแหละครับ)


และพอเลื่อนลงมาอีกนิด ก็จะพบ Vocab
น่าจะมาจากการรวมศัพท์ทั้งหมดที่เขียนไว้แล้วมั้ง
(เดาล้วนนนนน)


นี่แหละครับ จบแล้ว ง่ายไหม
ลองดูนะครับ ผมว่าดีนะครับ เพราะเป็นข่าวในบ้านเราเอง
เราน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าอะไรเป็นอะไร
หรือถ้าไม่รู้เรื่อง ก็ไปอ่านข่าวภาษาไทยมาก่อนสักรอบสองรอบก็ได้
แล้วมาลองนั่งอ่านอันนี้ ก็ได้ครับ
อาจจะเหมาะกับคนที่ต้องการศัพท์ ต้องการฝึกฟัง
และเหมาะสำหรับมือใหม่สำหรับผม
แต่ที่ผมชอบที่สุด คิดว่าน่าจะเป็นคำแปลที่ จะโผล่มาเมื่อเอาเม๊าไปจ่อ
ผมว่ามันเจ๋งนะครับ มันทำให้ผมซึมศัพท์ได้เร็วมากครับ
แต่จะเร็วสำหรับคนอื่นหรือไม่นั้น
ผมไม่รู้นะครับ ต้องลอง อิอิ
ถ้าตรงไหนแปลไม่ออก ไม่มีคำแปลไว้ อันนี้ต้องลอง
หาเว็ปแปลดูนะครับ เช่น http://dict.longdo.com/ << คลิ๊กได้เลย มีลิ๊งค์


เจียดเวลาของตัวเองสักนิด มาลองฝึก
ผมเชื่อว่าได้ประโยชน์แน่นอนครับ
ผมเชื่อว่า สิ่งนี้ จะช่วยผมในการทำวิทยานิพนธ์ได้ครับ
ขอตัวไปลองก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ

เบอร์สวย 52


    เมื่อวานพอดีจะเข้าไปหาข้อมูลเบอร์ใน Google นะครับ
    ผมได้ไปเจอ เว็ปหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเว็ปพันทิพ
    มันก็ทำให้ผมได้ย้อนนึกไปถึงสมัยก่อน
    ก่อนที่ผมจะมีเบอร์เป็นของตัวเอง

    ณ สมัยนั้น ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะ 4 ปีได้แล้วครับ
    ตอนนั้น เรายังเฝ้าดู-เฝ้ามองเบอร์จากเว็ปใหญ่ๆหลายเจ้า
    แล้วผมก็ฝันว่า วันนึง เราจะต้องมีเบอร์ที่สวยๆเป็นของตัวเองบ้าง
    ซึ่ง ณ ตอนที่ผมดู เราก็ไม่มีเงินขนาดนั้นหรอกนะครับ (ฝันน)
    "เงินที่มี ก็มีหลักร้อย-พัน"
    แต่ก็อยากได้ครับ มองมันมาทุกวัน
    กลับบ้านมาก็จะต้องเข้าดูเว็ปพี่ๆหลายคน
    (ไม่รู้ว่า พอเข้ามาดูแล้ว ราคาจะลงหรือยังไง ฮ่าๆๆ)

    ขอเกริ่นนำก่อนนิดนึงนะครับ
    ใจผมเป็นคนชอบเบอร์โทรศัพท์ที่จำง่ายครับ
    ( ณ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเบอร์สวยคืออะไรครับ )
    จำได้ สมัยตอนที่ผมอยู่ ม2 ( ช่วง nokia ผีเสื้อ )
    ผมใช้เบอร์โทรศัพท์ 040 177 040 (ณ ที่ยังไม่มี 08 ขึ้น)
    เบอร์นี้.. พี่สาวเป็นคนพาไปซื้อ และทำการเลือกให้ครับ

    ..หลังจากที่ผมได้เบอร์มา..
    ซึ่งเวลาผมบอกเบอร์ ก็จะบอกแบบนี้ มันจำง่ายมากครับ
    แล้วก็มักจะมีคนชมว่า เห้ย !! เบอร์มันจำง่ายมากเลย
    มันเลยทำให้เราประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้
    แต่หลังจากที่เบอร์ได้ถูกเปลี่ยนมาขึ้นด้วย 08
    มันก็ทำให้ ดูแปลกๆครับ >> 084 017 7040 ผมก็เลยเลิกใช้มันไป
    แล้วก็ใช้เบอร์ทั่วไปมาตลอดครับ 

    จนพอเริ่มเข้าปีหนึ่ง (ช่วง 4 ปีที่แล้ว)
    ก็มีความรู้สึกว่า อยากจะได้เบอร์
    (แต่ก็ไม่ได้คิดนะครับ ว่าจะมีคนขายจริงๆ และเบอร์จะมีราคาสูงขนาดนั้น)
    ก็เลยใช้ Google ให้เกิดประโยชน์ ก็พบเว็ปดังๆ หลายท่านเลย
    ซึ่งแรกๆ ผมจำได้ว่าจะมีไม่กี่ท่านที่ สมัยนู๊นนนนน...
    เพราะของผมนี่เวลาจะหาที จะไล่หาหมดครับ ทั้งแต่หน้าแรก จนเกือบหน้า 10
    เพราะฉะนั้นจะผ่านตามาหมด แทบจะทุกเว็ปในสมัยนั้นครับ
    แต่จะจำได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่า เปิดเว็ปไหนบ่อยที่สุด

    แล้วผมก็ได้มานั่งนึกว่า...
    เอ๊ะ เราจะดูเบอร์สวยเนี้ย มันดูยังไง
    จนได้มาเจอเว็ปนี้(มีคนเขียนไว้ตั้งแต่ปี 52)ครับ
    ผมนั่งอ่านมันแทบทุกวันนะครับ เพื่อเก็บเป็นความรู้แก่ตัวเอง..


    สรุปออกมาเพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนที่กำลังหาเบอร์สวยที่มีมูลค่าทางท้องตลาด

    หลักการดูเบอร์สวยมีดังนี้
    1. ให้ดูความสวย และเลขซ้ำๆจากท้ายขึ้นมา( ขวาไปซ้าย )ยิ่งซ้ำมากยิ่งแพง
    2. ความห่างของตัวเลขไม่ควรเกินจากกัน 2-3 หลัก
    3. ถ้าเลขเรียง เรียงขึ้นจากซ้ายไปขวา จะมีราคาสูงกว่าเรียงลง
    4. ตัวเลขยอดนิยม คือ 0, 9, 8, 5, 7

    ปัจจัยที่ทำให้เบอร์สวยมีราคาต่างกัน
    1. เครือข่าย ของ AIS จะแพงที่สุด รองลงมาคือ Dtac ต่อมาคือ True, Hutch ฯลฯ
    2. รหัสที่ขึ้นต้นด้วย 081 จะได้ราคาดีที่สุด รองลงมาคือ 089, 086 และหมวดใหม่ ๆ ได้แก่ 087, 085, 084, 083 จะอยู่ท้าย ๆ
    การเลือกเบอร์สวย ( VIP ) มีวิธีดูดังต่อไปนี้
    1. เบอร์เซเว่นต์ 08X YYYYYYY มูลค่าหลาย ๆ ล้านบาททุกหมายเลข
    2. เบอร์ซิกส์ท้าย 08 AB XXXXXX ราคาอยู่ที่หลายแสนจนถึงเป็นล้าน ๆ
    3. เบอร์ไฟร์ท้าย 08X AB XXXXX ราคาจะอยู่ที่เกือบแสนจนถึงหลาย ๆ แสน ( ราคาจะแพงมากถ้าข้างหน้าเป็นคู่หรือตอง )
    4. เบอร์โฟร์ท้าย 08X ABC YYYY เบอร์พวกนี้จะขายได้ราคาที่ระดับหมื่นขึ้นไป ( ถ้าข้างหน้าโฟร์เป็นเลขคู่หรือตอง ราคาอาจจะไปที่หลาย ๆ แสน )
    5. เบอร์สองตอง คือ ในหนึ่งชุดจะมีซ้ำตอง ได้แก่
      08 AXXX BXXX ราคาหลายหมื่น ถึง เป็นแสน
      08 AYYY BXXX ราคาหลายพัน ถึง เป็นหมื่น
      08 AB XXXYYY ราคาใกล้หมื่น ถึง หลายหมื่น
      08 AAA XY AAA ราคาหลักหมื่น
      08 AAA XY BBB อย่างนี้ไม่แพงมาก ( ถ้าไม่ใช่เลขสูง )
      08 AAA BB AAA อย่างนี้หลักแสน
    6. เบอร์พัน-พัน ลักษณะของเบอร์คือ มีเลขพัน 2 ชุด เช่น 08-X000-Y000 ราคาก็แสนอัพ
    7. เลขซ้ำกันตรงกลาง ต้อง 5 ตัว ขึ้นไปถึงเรียก VIP
       08 XXXXX ABC ราคาไม่แน่นอน ตั้งแต่หลายพันจนถึงหลายหมื่น
       08A XXXXX BC ราคาไม่แน่นอน ตั้งแต่หลายพันจนถึงหลายหมื่น
       08 AB XXXXX C ราคาไม่แน่นอน ตั้งแต่หลายพันจนถึงหลายหมื่น
       08X 9XXXXX9 ราคาหลายหมื่นถึงหลักแสน
       08 XXXXXX AB ซิกส์หน้า ราคาหลักหลายหมื่นถึงหลักแสน
       08A XXXXXX B ซิกส์กลาง ราคาหลักหลายหมื่นถึงหลักแสน
       08 XXXXXXX A เซเว่นต์หน้า ราคาหลักล้าน
       08XXXXXXX8 หลักล้านถึงหลายล้าน ( หาบยักษ์ )
       08X8X8X8X8 หลักล้านถึงหลายล้าน
    8. เบอร์ตองหลัง คือ XYYY เป็นเบอร์ที่นิยมเล่นกัน ราคาไม่แพงมาก สนนราคาต่างกันตามตัวเลขและรหัสนำหน้า ราคาจะอยู่ที่ไม่กี่ร้อยจนถึงหลายพัน แต่ถ้าเป็น YYYX แบบนี้ไม่ค่อยมีคนนิยมเล่นนัก
    9. เบอร์คู่ ลักษณะคือจะมีเลข 2 คู่อยู่ที่ด้านหลัง ได้แก่ XXYY, XYXY, XYYX เป็นเบอร์ที่นิยมเล่นไม่แพ้เบอร์ตอง ราคาถูกกว่าเบอร์ตองนิดหน่อย แต่บางคู่อาจสูสีกับเบอร์ตอง ได้แก่คู่ที่นิยมเล่นพวก 8899, 9988, 9900, 0099, 5599, 9955 หากมีคู่เพิ่มด้านหน้าเช่น 08X AA BBCC หรือ 08 AA BB CC DD ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก หรือ มีตองหน้าคู่ เช่น 08X AAA XXYY ราคาจะอยู่ที่หลายพันบาท
    10. เบอร์เรียงสี่ตัวท้าย ถ้าเรียงจากน้อยไปมาก ( เรียงขึ้น ) ราคาจะแพงกว่าเบอร์เรียงจากมากไปน้อย ( เรียงลง ) ราคาจะสูสีกับเบอร์สองคู่ เบอร์ที่นิยมก็คือ 6789 หากมีเลขตองหน้าเรียง หรือมีเรียงสองชุด จะทำให้ราคาสูงขึ้นไปอีก
    11. เบอร์เลขสองตัว คือ ทั้งเบอร์จะมีเลขอยู่แค่ 2 ตัว โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทย่อย ได้แก่
       - เลขหลักเดียว หมายถึง พิจารณาจากเบอร์ทั้งหมดสิบหลัก มีตัวเลขอยู่แค่ 2 ตัว ราคาของเลขประเภทนี้จะขึ้นอยู่กับความสวยของเลข 4 ตัวท้ายและความสวยโดยรวมของเบอร์ ในหมวดของเลข 2 ตัว เลขหลักเดียวจะมีราคาแพงที่สุด

       - สองตัวแท้ พิจารณาเบอร์ทั้งหมด 9 ตัว และ 8 ตัว มีเลขอยู่แค่ 2 ตัว เช่น 08 XX YY XYXY ราคาขึ้นอยู่กับความสวยโดยรวมของเบอร์
       - สองตัวเทียม พิจารณาเบอร์ทั้งหมด 7 ตัวท้าย มีตัวเลขอยู่แค่ 2 ตัว เช่น 081 XYY YYXX ราคาพันถึงใกล้หมื่น ขึ้นอยู่กับความสวยของเลข 4 ตัวท้าย และความสวยโดยรวมของเบอร์เช่นกัน

    การเลือกเบอร์จำง่าย ลักษณะของเบอร์พวกนี้ ไม่ถือว่าเป็นเบอร์สวย
    1. เบอร์สูตรคูณ เบอร์พวกนี้จะสวยต่อเมื่อพูดบอกเบอร์เท่านั้น เช่น 081 339 3412 หรือ 084 728 4832
    2. เบอร์ตองใน, โฟร์ใน หรือเบอร์ที่มีตัวเลขซ้ำกันเยอะ เช่น 081 XXX XYAB หรือ 08X 99X 9A9B
    3. เบอร์ชุด คือเบอร์ที่ 4 ตัวหน้าเหมือนกับ 4 ตัวหลัง เช่น 08 ACBX ACBX ราคาไม่แพงมาก อยู่หลักพันกว่าบาทขึ้นไปก็พอจะหาซื้อได้แล้ว แต่ถ้าชุดสวย ๆ เป็นคู่ ๆ ไป จะได้ราคาดีกว่านี้
    4. เบอร์กระจก เบอร์เหล่านี้บางเบอร์อาจทำให้เกิดความสับสนในการจำ ตัวอย่าง 081-153-351-8 หรือ 089-365-365-2
    5. เบอร์คู่รัก หรือเบอร์คู่แฝด จะมีทั้งเบอร์สวยและเบอร์ธรรมดา แต่มีคุณค่าทางใจ ลักษณะของเบอร์หมวดนี้จะค่อนข้างหลากหลาย เช่น 7 ตัวหลังเหมือนกัน ต่างแค่รหัส หรือทั้งเบอร์มีเลขต่างกันแค่ตัวเดียว, คู่เดียว, ตองเดียว ส่วนใหญ่เบอร์พวกนี้จะขายเป็นแพคเกจ สำหรับราคาจะขายเป็นคู่ตั้งแต่หลักพันขึ้นไป จนถึงหลาย ๆ แสนสำหรับเบอร์สวย ๆ
    - ปกติการเขียนเบอร์โทรศัพท์จะแบ่งเป็น รหัส-ตัวเลข 7 หลัก ( 08X-ABCDXYZ ) ซึ่งเป็นการเขียนแบบเก่า กับ 08-รหัส+ตามด้วยตัวเลข 3 หลัก-ตัวเลข 4 หลัก ( 08-ABCD-DXYZ ) แต่การขายเบอร์โดยใช้เทคนิคการแบ่งตัวเลขเพื่อทำให้เบอร์มีราคาขึ้น เช่น 08-4648-6485 อาจเขียนเป็น 084-648-648-5 อาจจะไม่เป็นเบอร์สวย และไม่ควรจ่ายมากกว่าราคาซื้อปกติ

    เบอร์เลขมงคลแบบต่าง ๆ ราคาขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล
    1. ดูผลรวมยอดจากเลข 10 ตัวของมือถือ หรือ 9 ตัวของเบอร์บ้าน ( ผลลัพธ์ 1 - 108 )
       เลข 14, 15, 19, 23, 24, 25, 27, 32, 36, 40, 41, 42, 44, 45, 46, 50, 51, 52, 54, 55, 56, 59, 60, 63, 64, 65, 72, 80, 81, 86, 88, 89, 90, 91, 92, 93, 95, 96, 98, 99 ทั้ง 40 ตัวนี้เป็นเลขดี - ดีมาก

    2. ผลสรุปจากยอดจากเลขทั้งหมดที่เห็น ( ผลลัพธ์ 1 - 9 )
       0 ดาวมฤตยู หมายถึง นักวิทยาศาสตร์ คนทันสมัย มีความคิดสร้างสรรค์ ทำอะไรแตกต่างจากผู้อื่น มีญาณพิเศษ อาจทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ และดาวมฤตยูยังแสดงถึงสิ่งเร้นลับ และการเดินทางไปต่างประเทศ
       1 ดาวอาทิตย์เป็นดาวบาปเคราะห์ ให้ผลในทางร้อนแรง เที่ยงตรง อยู่ที่ไหนไม่นาน ตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร ได้แก่พวกมียศมีตำแหน่ง เชื้อพระวงศ์ ข้าราชการ
       2 ดาวจันทร์เป็นดาวศุภเคราะห์ ให้ผลทางอ่อนหวาน ความไม่แน่นอน ความเชื่องช้า ลึกลับ ยั่วยวน มารยา เอาอกเอาใจ ได้แก่ หญิงชั้นนำ นางพยาบาล การบริการ
       3 ดาวอังคารเป็นดาวบาปเคราะห์ ให้ผลในเรื่องสงคราม การต่อสู้ ได้แก่บุคคลในเครื่องแบบ ทหาร ตำรวจ หน่วยกู้ภัย ช่าง หมอ พยาบาล อาวุธ เครื่องมือต่างๆ ยานพาหนะ ความกล้าหาญ ความขยัน
       4 ดาวพุธเป็นดาวศุภเคราะห์ ให้ผลในการค้าขาย การเจรจาติดต่อสื่อสาร ได้แก่ผู้สื่อข่าว พิธีกร อาหารการกิน เสื้อผ้า ผักผลไม้ การวางแผน สัญญา ต้นไม้ ใบไม้
       5 ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวศุภเคราะห์ ให้ผลในด้านการศึกษา ศาสนา ได้แก่ พระ ครูบาอาจารย์ ผู้พิพากษา แพทย์ วัด สถานศึกษา โรงพยาบาล ศาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตำรา เครื่องรางของขลัง ปัญญา ศีลธรรม ความรับผิดชอบ
       6 ดาวศุกร์เป็นดาวศุภเคราะห์ ให้ผลด้านการเงิน ความรัก ที่หลับที่นอน ความสนุกสนาน ความสมหวัง ความงาม ได้แก่หญิงมีฐานะ นักแสดง นักดนตรี นักรัก ช่างเสริมสวย ของสวยงาม
       7 ดาวเสาร์เป็นดาวบาปเคราะห์ ให้ผลด้านเกษตรกรรม กสิกรรม ของสกปรก ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ความมืด ความพิการ
       8 พระราหู ให้ผลด้านโมหะจริต ความมัวเมา ความเสเพล การเสี่ยงโชคและโชคลาภ โหราศาสตร์ อบายมุข ไม่เกรงใจใคร มุทะลุ เห็นผิดเป็นชอบ มีเล่ห์เหลี่ยม กล้าได้กล้าเสีย ชอบของมึนเมา
       9 ชีวิตจะพบแต่ความรุ่งเรืองไม่มีสิ้นสุด

    3. เลขลงท้ายด้วยตัวเลขมงคล 3-4 หลักสุดท้าย เช่น
       - เลขรอบเศียรพระ 2 5 8 0 ( 2 5 8 ) หมายเลขพระพุทธองค์
       - เลขเทพเจ้าโชคลาภ 1 6 8
       - เลขเทพเจ้ากวนอู ที่นิยมนับถือกันในฮ่องกง และสิงค์โปร 3 6 9
       - เลขเจ้าแม่กวนอิม จริง ๆ มีแค่ 4 7 กับ 7 4 แต่เนื่องจากอยู่แถวเดียวกัน จึงเพิ่ม 1 ลงไป
       - เลข 108 พรร้อยแปดประการ

    4. เลขที่มีคำพ้องเสียงที่มีคำมงคลแบบจีน ( และภาษาอื่น ๆ ) เช่น
       10 = เต็มสิบ หรือ สมบูรณ์
       15 = ผลรวมของ 168 (1+6+8=15) กับ 69 (6+9=15) เลขที่คนจีน ไต้หวัน ฮ่องกง นิยม
       25 กับ 52 แปลว่า มีทรัพย์สินมีความสุข
       31 = สามเอ็ด = สำเร็จ = สำเร็จลุล่วง
       37 = สามเจ็ด = สำเร็จ = สำเร็จสมบูรณ์ ( 3+7 = 10 )
       69 = หยิน และ หยาง = ชาย และ หญิง เติมเต็มกันและกัน ความสมบูรณ์
       85 กับ 58 ชาวจีน ถือว่า โชคดีมีความสุข
       8787 = ฮวก-เตี๊ย-ฮวก-เตี๊ย = รวยแน่ รวยแน่
       89 กับ 98 ชาวจีนถือว่า มีเงินทองใช้ตลอดไป
       95 = เก้าห้า = ก้าวหน้า = ก้าวหน้ารุ่งเรือง
       98 = ก้าวหน้าไปไม่มีที่สิ้นสุด เลข 9=ก้าวหน้า 8=อินฟินิตี้ ไม่มีที่สิ้นสุด
       99 = คนเราทำอะไรก็ควรทำ 99 % เผื่อตอนล้มแล้วจะได้ลุกใหม่ ( ล้ม 7 ครั้ง ลุก 8 ครั้ง )
       100 = เต็มร้อย หรือ 100% อุดมสมบูรณ์
       108 = มงคล 108 ประการ
       168 = ออกเสียง อี่-หลู่-ฟา ในภาษาจีนกลางออกเสียง อี่-หลิว-ปา = หนึ่ง ทาง รวย ( ตัวเลขยอดนิยม )
       147 = เลขเจ้าแม่กวนอิม
       149 = มีกินมีใช้ไม่มีวันหมด
       369 = เลขเจ้าพ่อกวนอู
       999 = สุดยอดแห่งความมงคล ชัยชนะอันยั่งยืน
       888 = ร่ำรวยมีความสุข
       899 = รวยนาน ๆ ( ฮวก กู๋ กู้ )
       777 = เดินทาง ติดต่อสื่อสารมหาเฮง
       668 = รวยทุกทาง ( โชคดีทุกโอกาส )
       666 = โอกาสที่ดีต่าง ๆ ถูกเปิดให้ท่านแล้ว
       555 = พรทั้ง 5 จะอยู่คู่กับท่านเสมอไป ( มีความสุขมากมาย )
       444 = ปุโรหิต เจรจาวาทะศิลป์ล่ำเลิศเกินใคร ๆ
       333 = แดงเดือด แก้ไขปัญหา ฟันฝ่าอุปสรรค์เก่งเป็นที่หนึ่ง
       222 = เกี่ยวข้องทางด้านการเงินอยู่ตลอดเวลา
       111 = สุดยอดแห่งชัยชนะ ( คล้ายเลข 9 ) ร้อนแรงดุจดังพระอาทิตย์
       ลงท้าย 877 แปลตรงตัวจากจีนสู่ไทย คือ รวยแน่ ๆ กับ 8787 ลงท้าย รวยแน่รวยแน่
       X000 พันแท้ พรนับพันประการ
       2580 ( 258 ) เลขพระพุทธองค์ = เดินทางสายกลาง ( เลขรอบเศียรพระ )

       ความหมายของเลขตามตำราของไทยโบราณ ใช้คำลงท้ายแค่ 2 ตัวหลัง
       11 = ความสามารถ เก่งกาจ ฉลาด
       22 = อายุมั่นขวัญยืน สุขภาพร่างกายแข็งแรง
       33-66 = เงินทองไหลมาเทมา มีโชคลาภไม่ขาดสาย
       44-88 = ความรัก มีแต่คนรัก ผู้ใหญ่อุปถัม เสน่หา
       55 = ค้าขายดี กำไรงาม
       77 = เลขจักพรรดิ์  ความยิ่งใหญ่ อำนาจ บารมี
       99 = ความรุ่งเรือง เจริญก้าวหน้า อุดมสมบูรณ์
       00 = ไม่มีที่สิ้นสุด อยากทำไรก็สมใจหวัง

       แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 52 08:01:37จากคุณ : นูเบ - [ 20 มี.ค. 52 06:59:31 ]


       Credit/ที่มา : วิธีดูเบอร์สวย เบอร์จำง่าย รวบรวมข้อมูลมาจากหลายแหล่ง,at http://topicstock.pantip.com/mbk/topicstock/2009/03/T7645877/T7645877.html

        ** เสริม เบอร์สามตัวแท้ นิดนึงครับ ตามความเข้าใจของผมที่สังเกตจากพี่ๆมานะครับมันคือ 08 0YY0YYY คือ ณ ตัวอย่างนี้ Y ต้องเป็นเลขเดียวกัน  แต่อาจจะมีการสลับตำแหน่งก็ได้ แต่พื้นฐานต้องมีเพียงแค่เลข 3 ตัว นับ 0 และ 8 รวมด้วยครับ ใน 10 หลักครับ (10หลักนะครับ) ไม่ใช่ 8 หลักท้าย เพราะฉะนั้นเท่านเท่ากับถ้าเบอร์ขึ้่น ด้วย 08 ในเบอร์จะมีเลขอื่นได้เพียงเลขเดียวเท่านั้น ถ้ามีนอกเหนือนั้น ไม่ใช่สามหลักแท้ครับ

        นี่คือ ณ สมัย ปี52 นะครับ (ซึ่งถ้ามองดีดี จะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากหรือมันผิด อันนี้ผมไม่ทราบนะครับ) โลกมันเปลี่ยนไปเรื่อย แต่ตรงนี้ ถ้าให้ผมพูดถึง มันเปรียบได้เป็น "ต้นร่าง" ครับ  เพราะผมใช้ตัวนี้ศึกษามาตลอด >> ส่วนใหญ่ผมจะใช้ดูเบอร์สวยเป็นหลักนะครับ  ต้องขอบคุณ คุณ นูเบ ที่เขียนมา ทำให้ผมได้มีความรู้เรื่องเบอร์ ณ วันนั้น จนถึงวันนี้ครับณ สมัยนั้น ผมว่าถ้าจะหาคนที่เขียนและวิเคราะห์เกี่ยวกับเบอร์ได้ เพราะเท่าที่ผมอ่านผ่านตามาก็ ไม่มีที่ไหนจะวิเคราะห์ละเอียดขนาดนี้นะครับ ยิ่งถ้ามาจากการสังเกตของผู้เขียนเองอีกแล้วด้วย ยิ่งสุดยอดครับ ;)
        สำหรับผม ประโยชน์ของเบอร์โทรศัพท์ (มุมมองผมเท่านั้น) - ใช้เพื่อให้ลูกค้า หรือ เพื่อน จำได้ง่ายครับ ผมเคยนึกนะครับ ถ้าสมมติ ผมนั่งรถผ่านที่ใดที่หนึ่ง แล้วเจอธุรกิจที่สนใจ แล้วเบอร์ที่เขาลงไว้ เกิดจำยากขึ้นมา อาจจะทำให้ทั้งผมและทั้งเขา พลาดโอกาสไปได้ครับยิ่งเวลาลงนามบัตร หรือขึ้นหน้าร้านต่างๆ ยิ่งเป็นที่โดดเด่นครับ- สร้างความน่าเชื่อถือ เบอร์บางเบอร์มีมูลค่ามากครับ ซึ่งทำให้แทนที่เราจะต้องไปดูการแต่งกาย กริยาท่าทางนั้น เราก็พิจารณาจากเบอร์ที่เขาใช้เป็นมาเป็นหลักในการพิจารณาส่วนหนึ่งได้ครับ ว่าคนที่เรากำลังติดต่อด้วยนั้น มีความน่าเชื่อถือแค่ไหนเพียงไร (ย้ำนะครับว่าแค่ส่วนหนึ่ง)- และหากเบอร์ท่านมีราคามากๆ ในยามที่ท่านขัดสนเรื่องเงิน ท่านก็ยังสามารถจะนำเบอร์นั้นมาขายได้

    * สุดท้าย เราไม่ชอบ หรือเราไม่เชื่อ
    เราก็ไม่ควรจะไปตำหนิความคิดของผู้ที่ชอบหรือเชื่อ
    เช่นเดียวกัน.. หากเราชอบหรือเราเชื่อ
    ก็ไม่ควรจะไปตำหนิในความคิดของผู้ไม่ชอบและไม่เชื่อดุจกัน
    ในช่วงชีวิตคนเรา มีทั้งดีและร้ายปะปนกันไป
    ไม่มีทางที่มันจะดีตลอดชีวิต และไม่มีทางที่จะร้ายตลอดชีวิต
    แต่ขอให้เราชื่อในสิ่งที่ทำและทำด้วยความมุ่งมั่น แล้วเดี๋ยวผลจะปรากฎเอง
    ขอบคุณครับ