วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทวดาประจำตัวว..



จริงๆ ผมได้รู้จักกับพี่ท่านนี้มานานแล้ว
แต่ชื่อนี้ เพิ่งได้มาไม่นานนี้ครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า
ทำไมถึงต้องเรียกว่า "เทวดาประจำตัว"
ชื่อนี้ แม่ผมเป็นคนตั้งให้.. เมื่อไม่นานมานี้

มันน่าแปลกไหมครับ ?
ในเวลาที่ผมท้อ ในเวลาที่ผมเจอทางตัน
อยู่ดีดีจะมี คนโผล่มาคอยช่วย คอยแนะนำ
คอยบอกวิธีอยู่ตลอด ทำให้เรามีกำลังใจลุยต่อ
มีกำลังใจค้นคว้า มีกำลังใจพัฒนาตัวเอง

ผมก็เลยมานั่งนึก...
ชื่อนี้แหละ เหมาะสม ที่สุดแล้ววว

มันเป็นยังไง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง
เรื่องนี้ ค่อนข้างยาว แต่อยากจะเขียนให้
(เพราะเมื่อกี้เพิ่งคุยกับพี่เขามา และก็ได้ความรู้อีกเช่นเคย)



สมัย ผมเรียน ม6 
ผมก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมากครับ
เรียนก็ไม่ถึงกับดี แต่ก็ไม่แย่ส๊ะทีเดียว แต่จะมีวิธีเอาตัวรอดเสมอ
แล้วก็เอาตัวรอดจน จบ ม6 มาได้
ช่วงนั้น ผมเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเองเลย
ผ่านก็ดวง ไม่ผ่านก็ดวง เจอเรื่องอะไรไม่ดี ก็ดวง เจอเรื่องดี ก็ดวง



จนได้เข้าสู่รั้วมหาลัยรามคำแหง 
...สาขานิติศาสตร์...
เทอมแรก ผมก็ไปเรียนตามปกติครับ
เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แต่ผมจะเป็นคนว่าเกเรแค่ไหนก็จะไม่โดดเรียน
แล้วก่อนสอบก็อ่านหนังสือ ท่องตัวบท แบบลวกๆ
ไปสอบ ปรากฎว่าเทอมแรก สิ่งที่ผมช็อคคือ
ลงไป 6 วิชา ผ่าน 4 ตกทรัพย์กับมหาชน
แต่ตัวที่มันทำให้ผมหึกเหิมมากที่สุด คือ G นิติกรรม
เพราะวิชานั้น คนตกเยอะครับ แล้ว G ไม่กี่คนในห้อง
มันเลยทำให้ความมั่นใจเรามาสูงปี๊ดดดดดดดดดด (เกินไป)
ซึ่งไอความมั่นใจนี้เอง มันประกอบด้วยสิ่งที่ดี และในขณะเดียวกัน
มันก็มีสิ่งที่ไม่ดีแฝงอยู่ เพราะมันจะทำให้เราเหลิง และผงาดแบบโง่ๆครับ
(ผมโชคดี ที่ตัวเอง ได้ผ่านจุดนั้นมาหลายรอบ ณ ตอนนี้ มันก็เลยเฉยๆกับสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว)
ตอนนั้น เราก็ผงาดครับ เพราะก็คิดในใจว่า ก็พอตัวอะ !!!

แต่ด้วยความที่ตกทรัพย์ แล้วเราจะทำยังไงดีว่ะ
มันไม่เข้าใจอะ จะให้ทำยังไง
(จำได้ว่าตอนสอบรอบแรก) จะไม่ไปสอบแล้ว
ร้องไห้ ไม่อยากท่องตัวบท (ท่องคืนก่อนวันสอบ)
แล้วก็มาท่องอีกตอนเช้า แล้วด้วยความที่มันรน มันยิ่งจำไม่ได้
เข้าห้องสอบไป ก็ต้องไปนั่งนึก นั่งมโนอีก
ข้อสอบไม่ยากครับ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า "เราควรมองอะไรก่อน"
แล้วสุดท้ายก็ตก...


สุดท้าย จำได้ว่า เอ๊ะ ในห้องเรามีพี่คนนึง "ชื่อพี่ดุ่ย"
(วิชานั้น เรียนด้วยกันครับ) ได้ยินเขาพูดๆกันอยู่
(ชื่อเสียงระดับเซียน) ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เราก็เลย เข้าไปหาพี่เขา ให้เขาติวให้หน่อย
พี่เขาก็ยินดีนะครับ ไม่เคยปฏิเสธ แล้วก็นัดกันมาติว
ระหว่างที่ติว เพื่อนพี่เขาก็มาครับ 
แล้ว ผมก็ได้ยินประโยคประโยคนึง ที่มันแทงใจผม
"คนที่ผ่านๆมาอะ ดีไม่ดี ก็ยังไม่รู้เลยว่าผ่านเพราะอะไร"
แต่เขาไม่ได้พูดกับผมนะ พูดกับเพื่อนเขา
และเขาก็ถามผม เป็นเชิงว่า รู้ไหมว่า ถ้าโจทย์มันมาแบบนี้
จะตอบว่าอะไร (นิติกรรมที่ผมได้ G นี่แหละครับ)
แล้วถ้ามันเปลี่ยนเป็นแบบนี้หล่ะ จะตอบว่าอะไร ?
แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบจากผมนะครับ ผมก็ตอบไม่รู้ไป ฮ่าๆ

แต่ !!!!
มันเลยทำให้ผมย้อนกลับมาคิด
"เออจริงหว่ะ เราผ่านมาเรายังไม่รู้เลยว่าได้ G เพราะอะไร"
แล้วคำตอบที่เราตอบมันถูกไหม..
มันเกิดคำถามลึกๆครับ
แล้วมันก็ทำให้ ดร็อปความมั่นใจของผมไปเยอะครับ
ซึ่งผมว่าดีนะ (อย่างที่บอก ความจริงมันมักเจ็บปวดครับ ฮ่าๆ)



มันก็เลยทำให้ผมเริ่มที่จะเปลี่ยนมุมมองในการเรียนใหม่
ว่า.. เวลาเราทำอะไร ควรจะต้อง ทำจริง รู้จริง
ให้สมกับที่เราผ่านมาได้จริงๆ เวลาใครถามจะได้พูดได้หน่อย
ไม่ใช่ใครถาม ก็ไม่รู้ ผ่านมาได้ยังไงก็ไม่รู้
(จนหลังๆ พอออกจากห้องสอบนี่ คือ รู้เกรดรอแล้วอะครับ)
ไม่ต้องรอติดประกาศ (ประมาณ 80% ของที่เรียน)
- ไปแอบดูข้อสอบอาจารย์ใช่ไหมเลยรู้เกรด ใช่ ถรุ๊ยยย
คือเราอ่านมาจนแม่น แค่เห็นคำตอบ ก็รู้แล้วว่าต้องตอบอะไร
แล้วสุดท้าย ผมก็ผ่านวิชาทรัพย์มาได้ในที่สุด
(วิชามหาชนไม่พูดถึงนะครับ ณ ตอนนั้น ใจในการอ่าน ความรู้ในการเรียน
มันยังไม่เยอะ เพราะฉะนั้น วิชาเขียนจะไม่ชอบเลยครับ อัดแต่วินิจฉัย)

หลังจากนั้น ผมกับพี่ดุ่ย ก็เริ่มสนิทกันครับ
ผมก็จะขอตามพี่เขาไปด้วย เวลาติวกันที่ไหน ผมก็จะขอตามไปฟังตลอด
(เดิมก่อนหน้านี้ เรียน..ไม่เคยติวครับ ใครจะไปคิดว่าจะมีติวกันเองด้วย)
หลังจากที่เราฟังพี่เขา เราก็รู้สึกว่า..
เขาเก่ง แล้วแถม พูดรู้เรื่องเหว้ย อธิบายง่าย และจะเป็นคนติวให้แทบทุกวิชา
นี่แหละ โดน !!!! ใจคิดยังไงเหรอครับ.. อยากเป็นบ้างครับ แม่งโคตรเจ๋ง
มันเลยวัยแล้วครับ ที่ตีต่อยกัน = เจ๋ง มันกลายเป็น = เจ๊ง
การมีความรู้ การเผยแพร่ความรู้ การทำให้คนอื่นเข้าใจ = เจ๋ง ครับ

ชีวิตผม ผมเจอคนเก่งมาก็ไม่น้อย
แต่คนที่จะเก่ง.. อธิบายให้คนโง่ๆฟังได้.. คิดแบบมีขั้นมีตอน.. มีเทคนิคบอก..
ทุกอย่างมีการวางแผน.. แล้วก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยนะครับ
ถ้าน้องๆ จะติว พี่ดุ่ยไม่เคยมีปัญหา เต็มใจมาทุกครั้ง ไม่เคยมีเรื่องเงินครับ
และก็สามารถพาทุกคนผ่านได้ ผมไม่เคยเจอครับ
มันเลยทำให้ผมประทับใจในตัวพี่คนนี้มาก
แล้วก็มีเป้าหมายว่า "เราอยากจะต้องมาเป็นคนติวที่เหมือนอย่างนี้ให้ได้บ้าง"
(จุดประกายมันเริ่มจากแค่ตรงนี้ครับ)
*หนังสือ หากจะให้มีคุณค่า ควรเขียนมาเพื่อให้คนไม่รู้อ่าน
แต่หากจะเขียนแต่อ่านเอง ก็เก็บไว้เถิดดดดดดดดดดดดด*



...จุดเปลี่ยน...
หลังจากที่นึกแล้ว ว่าเราอยากเป็นเหมือนเขา แล้วเราจะต้องทำยังไงหล่ะ ?
และถ้าวันนึง เราไม่มีพี่ดุ่ยติวให้ เราจะทำยังไง คำตอบของผมคือ
งั้นเราก็ต้องสร้างสังคม แห่งการติวขึ้นมาเองครับ โดยเราจะติวเอง
ตรงนี้ มันทำให้ผมพัฒนาตัวเองขึ้นมากครับ
การจะมาติวได้ ต้องอาศัยความเข้าใจที่เยอะมากครับ
ตรงนี้มันก็เลยสร้างแรงผลักดันให้ผมขยันมากขึ้น
เพราะคนพูดจะต้องเข้าใจก่อน ถึงจะสื่อออกมาได้
"แต่ไอนิสัยที่พูดยังไงให้คนอื่นเข้าใจ" ส่วนตัวผมมองว่า
มันฝึกกันได้ครับ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า "เวลาเราพูด เราจะมองคนฟังว่ายังไง"
1. ทำไมคนฟัง ฟังเราพูดไม่รู้เรื่องว่ะ เราก็พูดดีแล้วนะ
2. ทำไมคนฟัง ฟังเราไม่เข้าใจว่ะ แสดงว่า เราพูดไม่ดี งั้นเอาตัวอย่างใหม่
ถ้าเลือกแบบที่ 1 คุณย่อมเป็นคนอธิบายคนไม่ได้แน่นอนครับ
แต่ถ้าเลือกแบบที่ 2 ไม่นาน คุณก็จะพัฒนาได้ครับ
(2 ข้อนี้ ไม่ได้มีใครบอกครับ มาจากการตั้งคำถามของตัวเองครับ
และประกอบกับการสังเกตการติวของพี่ดุ่ยครับ เขาจะพยายามยกตัวอย่างที่ง่ายขึ้น
ง่ายขึ้น จนเราเก็ตเองครับ)
และตรงนี้เองก็พัฒนาในการพูดของตัวผมมากขึ้น
ยิ่งคุณพูดมากเท่าไหร่ คุณจะได้ทบทวนในวิชานั้น
ความรู้คุณจะยิ่งแม่นกว่าเดิม อีกหลายเท่า
นี่ คงเป็นคำตอบนึงว่า ทำไมบางวิชา ผมใช้เวลาตอบข้อสอบไม่ถึง ครึ่ง ชม ผมออกแล้ว
(ผมก็แอบหาประโยชน์จากการไปติวคนอื่นนี้แหละครับ อิอิ
เพราะมันคือช่องการทบทวนความรู้ของผม)

พอเราเริ่มอ่านหนังสือมาก เริ่มติวมาก
แน่นอนครับ ผลที่ตามมาคือ สอบผ่าน
และมันก็ผ่านมาตลอด จากเทอมแรกที่ ตก 2
หลังจากนั้น ผมเรียนมาไม่เคยตกเลย มีแค่ G กับ P แค่นั้น
และแน่นอนเมื่อ สอบผ่านมากขึ้น
ความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตัวเรา ก็เกิดขึ้นครับ
จากเดิมที่เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ ก็อ้างโชคดี,ร้าย
เดี๋ยวนี้ เราก็เลยเปลี่ยนจากการอ้างโชคเป็น
ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเกิดขึ้นเพราะ"เราทำ"
ตรงนี้ เลยกลายเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ผมเชื่อว่า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องทำได้ครับ และกำหนดมันได้
(เป็นคุณ จะคิดยังไงครับ กับเด็กที่เคยสอบตกบ้าง ผ่านบ้าง ไม่รู้อะไรเลย
จนมาวันนึง คิดจะลงวิชาอะไร ก็สอบผ่านหมดทุกวิชา)
ถ้าใช้คำว่า "โชคดี" ก็อาจจะเกินไปครับ
แต่ควรใช้คำว่า "ฝีมือ" มากกว่าครับ
แต่ !!!! ทั้งนี้ ความสามารถของท่านนั้น ต้องสอดคล้องไปกับ "จังหวะ" ด้วย
-ต้องขอขอบคุณพี่ดุ่ยอีกเช่นเคย-

ทำไมผมถึงพูดว่ามันต้องมีเรื่องของ"จังหวะ"ด้วย
วิชานึง ที่ขึ้นชื่อ คือ รัฐธรรมนูญ
วิชานี้ ปราบเซียนครับ บางคนลงถึง 8 รอบ ผมลงไป 2 รอบ (ถ้าจำไม่ผิด)
รอบแรก ลง ลงแบบตั้งใจแต่ให้ตัวเองสัก 60% พอ
(แต่ต้องบอกนะครับ ว่าอ่านเยอะพอตัว รัฐธรรมนูบปี 50 ไล่อ่านมาเกือบทั้งเล่ม)
แต่ข้อสอบที่ออกมายากมากครับ ไม่เข้าทางเลย คิดยังไงก็คิดไม่ออก
(ต้องบอกว่า ตอนนั้น skill ในการแถ ยังไม่ค่อยมีด้วยครับ)
รอบซ่อม ก็ล่วงครับ เจอคำถามอย่างนี้เข้าไป เครียด
พอรอบสอง คราวนี้ตั้งใจครับ เอาให้เต็มที่
แต่อ่านไม่หนักเท่ารอบแรกนะครับ แต่ความรู้เดิมยังอยู่
นัดเพื่อนติวกันทั้งหมด 4 คน ติวซ้ำไปวนไปวนมา
ม 156 กระทู้ , ญัตติ , กรรมาธิการ,อภิปรายไม่ไว้วางใจ, ถอดถอน
(สิ่งเหล่านี้ จะคงหลอนในสมองผมถึงทุกวันนี้ครับ)
ติวกันหูตาเหลือกจริงๆครับ
พอถึงห้องสอบ เข้าไป เห็น 4 ข้อ
รู้สึกรอบนั้นจะทำได้ทุกข้อครับ
ตรงนี้ คือ สิ่งที่ผมจะสื่อว่า จังหวะ เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะต่อให้เรารู้เยอะแค่ไหน แต่ถ้าออกมาในสิ่งที่เราไม่รู้เราก็ตกครับ
แต่เมื่อวันนึง คุณอ่านมาเยอะจริงๆ อยู่ในแวดวงที่มีเทคนิคมาบอก จะรู้เองครับว่า
ถึงแม้เราจะไม่มีความรู้ในคำถามที่ถาม 
แต่เราสามารถตอบข้อสอบได้อย่างไม่น่าเกลียด (และเยอะด้วย ฮ่าๆๆๆๆ)
สุดท้าย ผมก็ผ่านวิชานั้น จากที่ติว 4 ผ่าน 3 ครับ รอบนั้น
ทุกคนแฮปปี้มาก มันเลยทำให้ผมมองว่า "วิชาที่ทุกคนว่ายาก
ผมว่าผมสามารถหาหลักมาทำให้มันผ่านได้" และหลังจากนั้น ถ้าเป็นวิชารัฐธรรมนูญ
ผมก็จะรับหน้าที่ตลอด และส่วนใหญ่ที่ติวมาก็จะผ่านหมดครับ
แต่รอบนั้น ผมก็เชื่อว่า จังหวะ มีส่วนมากอยู่ แต่จังหวะยังไม่สำคัญเท่าการเตรียมตัวของเรา
ผมมองว่า สิ่งสำคัญมันคือ.. เราทำมันมาเต็มที่รึยัง
ยิ่งเราทำเต็มที่เท่าไหร่.. ยิ่งสร้างจังหวะ และโอกาสให้เรามากขึ้นเท่านั้นครับ

พอผ่านรัฐธรรมนูญได้ ถึงกับฟิตเลยครับ
เพราะรอบนั้น จำไม่ผิด ผ่าน 13 คน ใน 100 กว่า
-ต้องขอขอบคุณพี่ดุ่ยอีกเช่นเคย-

ระหว่างเรียน ผมไม่ได้นั่งเรียนอย่างเดียวนะครับ
เรียนเป็นเรียนครับ เลิกเรียน มาบ้านผม ติวกันสัก 1 ชม หลังจากนั้น
เหล้า ยาวววครับ ตี 5-6 โมงเช้ากลับบ้าน ตื่นไปเรียน
(ระหว่างรอเรียน และรอกลับบ้าน ช่วง4โมงกว่า และช่วง 3 ทุ่ม เราจะนั่งกันหน้าตึก
คุยกันแต่เรื่องกฎหมายครับ ได้ความรู้ใหม่ๆตลอด มันเลยทำให้ผมชอบคุยเรื่องความรู้กับคนอื่น
ติดเป็นนิสัยมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หลังๆ ก็ไม่ค่อยมีคนคุยด้วยครับ เลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุย ฮ่าๆ)
ช่วงนั้น ชีวิตเป็นแบบนี้ครับ
ถือว่าใช้คุ้มแล้วครับ ชีวิต ตอน ป. ตรี




การสังเกต
อันนี้ ผมได้มาจากพี่ดุ่ยหลายอย่างครับ
ผมมองว่า การที่คนเราจะเก่งได้ สิ่งสำคัญ (ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก) คือ การสังเกต
หลังจากที่ผมคุยกับพี่ดุ่ย
การที่เขาจะอธิบาย ส่วนใหญ่จะมีเทคนิคให้ตอน พร้อมทั้งจุดให้สังเกต
ไม่ใช่สอนได้ แต่เพียงลมๆ ลอยๆ ไม่มีหลักเกณฑ์
เหมือนการอ่านฎีกา ผมประยุกต์แนวคิดพี่ดุ่ยมาไม่น้อยเลยครับ
สำหรับเรื่องการสังเกต แต่ก่อนอ่านฎีกา ก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง
อ่านแล้วไม่รู้ว่า เขาพูดถึงอะไร แต่พอเริ่มสังเกต ก็จะเห็นเองว่า
ทุกอย่างมันจะมีคำตอบในตัวมันอยู่ และมันอยู่ในฎีกา นั้นแหละครับ

และที่ผมตกใจ มากคือ เกมส์ ragnarok นี่แหละครับ
ตอนนั้นก็คุยกันกับพี่ดุ่ย เพราะพี่ดุ่ยก็เล่น 
แต่ตัวผมเอง กลับเป็นฝ่ายที่ถูกเกมส์ กินเงินไป
แต่พี่ดุ่ย กลับเป็นฝ่ายที่หาเงินจากเกมส์ได้อย่างมาก
ซึ่งพอผมได้ฟังวิธีการ แล้วผมถึงกับตกใจมาก
พี่ดุ่ย เล่าให้ฟังได้เลยว่า boss ตัวนี้จะเกิดเวลาไหน
ตัวไหน ควรจะเข้าก่อน ตัวไหนควรจะเข้าตาม ต้องจบให้ได้ตอนไหน
ผมฟังเท่านี้ ถึงกับช็อค เพราะโอ้โห มีทั้งเทคนิค และสำคัญ คือการวางแผน
(นีี่ขนาดเกมส์นะครับ คนเรายังมองต่างกันได้ขนาดนี้ OMG !!)

การวางแผน ตรงนี้
 ตอนเรียนผมไม่เคยวางแผนอะไรเลยนะครับ
จนมาเจอพี่ดุ่ย พี่ดุ่ยวางแผนการเรียนให้ ว่าเทอมนี้ควรจะลงอะไรบ้าง
และควรจะเก็บตัวไหนให้ได้ก่อน เพื่อจะไปต่อยอดตัวไหน
ทั้งหมดนี้ ก็คือเพื่อประหยัดเวลา และให้ไปถึงเป้าหมายต่อไปของเรา ได้อย่างง่ายดาย
การวางแผนตรงนี้ เมื่อพี่ดุ่ยวางแผนตอนต้นให้ผมแล้ว ผมก็นำมันไปต่อยอด
จนผม จบป.ตรีมาได้ ด้วยเวลาไม่นานนัก (ตามเป้าที่วางไว้)

ตรงนี้ พอเราทำตามที่เราวางเป้าไว้ได้
พอเราเชื่อในตัวเราแล้ว ว่าเราเองกำหนดชีวิตได้
มันก็เลยทำให้ผมเชื่อว่า "ผมต้องทำได้ครับ"
ปัญหาที่ว่าใหญ่ มันก็จะดูเล็กลงไปนิ๊สสสครับ

ผมได้อะไรเยอะมากครับ จากพี่ดุ่ย
หลังจากที่หลายคนก็เริ่มจบไปแล้ว
ก็ต่างแยกย้ายครับ
แต่ผมก็ยังติดต่อกันอยู่ตลอดนะครับ
ถ้าว่างก็จะทักไปหาแก เสมอ ชวนมานั่งเล่น
นั่งกินอะไรกัน ตามภาษาเด็กๆ
แต่หลังจากที่ผมไปเรียน ป.โท
งานก็เยอะขึ้นครับ ก็เลยจะไม่ค่อยได้คุยกับพี่เขาเท่าไหร่
แต่มีอยู่วันนึง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เทวดาประจำตัวนี่แหละครับ"
คือวันนั้น ผมเครียดเรื่องภาษาอังกฤษมาก แต่ในขณะที่เครียดมาก
ก็แปลมันไปนะครับ แปลมันไปแบบไม่มีหลักมีเกณฑ์ มั่วๆไป
จนวันนั้น ถ้าจำไม่ผิด พี่ดุ่ยทักมาทาง facebook
ถามว่า ทำอะไรอยู่ แล้วผมก็บอกว่า แปลศัพท์ครับพี่
แล้วผมก็ช่วยให้พี่ดุ่ยดูให้หน่อย หลังจากนั้น พี่ดุ่ยก็อาสาว่าจะโทรมา
แล้วหลังจากนั้น ก็คุยกันยาวครับ (เกี่ยวกับการแปลศัพท์เนี้ยนะครับ)
วันนั้น มันเลยทำให้ผมได้วิธีการ เทคนิค การสังเกต ฯลฯ จากพี่ดุ่ยเยอะมากครับ
- ต้องขอบคุณพี่ดุ่ยอีกครั้งครับ-

มันน่า งง ไหม ครับ
ในวันที่เราท้อใจมากที่สุด ในวันที่เรารู้สึกว่า เห้ยเราทำไม่ได้แล้ว
กลับมีคน คนนึง ถามมา แล้วพร้อมที่จะสอนเรา
ผมนี่ งง เลยครับ วันนั้นเลยไปเล่าให้แม่ฟัง..
แม่เลยบอกว่า "แม่ว่า เขาคงเป็น เทวดาประจำตัวแคมป์แล้วแหละ ฮ่าๆ"
ผมก็คิดว่า เออเนอะ ในยามที่ขับขัน พี่ดุ่ยก็จะเข้ามาถูกจังหวะ
และมาสร้างกำลังใจ สร้างเทคนิค สร้างความรู้ให้เราเสมอ
มันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกครับ แล้วมันก็เป็นไปแล้ว

แล้วเมื่อเช้านี้เอง พี่ดุ่ยก็โทรมาจากเมกา
แล้วก็คุยกันเรื่องภาษาอังกฤษนี้แหละครับ
พี่ดุ่ยยังสอนเทคนิคอะไรอีกมากมาย
ซึ่งวันนี้เอง ทำให้ผมได้ความรู้เยอะมาก
จากที่เราไม่เคยสังเกตเลย เราได้จุดสังเกตและ
เรารู้ว่า เราควรจะอ่านอะไรก่อน อ่านอะไรหลัง
สุดยอดครับ


จุดเริ่มต้นในการ...พัฒนาของผม
มันเกิดขึ้นแค่ จากการ อยากเป็นอย่างเขาบ้าง เท่านั้นเอง
แต่การจะเป็นแบบเขา ก็ยังคงมีความเป็นตัวเรา อยู่ในนั้นครับ ไม่ทิ้ง ;)
และจากสิ่งที่ได้รับจากพี่ดุ่ย ในเรื่องความมั่นใจ และความเชื่อในความสามารถ
มันเลยทำให้เรา เลือกทำอะไรได้หลากหลายขึ้น จนเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ครับ 

ศิษย์สำนัก ดุ๊กดุ่ย
ที่เขียนนี้
ไม่ได้จะประจบประแจงหรืออะไร ใครอยู่กับผมมาจะรู้ว่า
"ผมไม่ใช่คนที่ชอบประจบใครเท่าไหร่"
แต่ถ้าพูด.. ก็พูดมาจากใจจริงๆ
อันนี้ กะจะเขียนนานแล้วครับ
พอดีช่วงนี้ได้เขียนบล็อค เลยเอาส๊ะหน่อย ฮ่าๆ
หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้พี่ดุ่ย
ผมเชื่อว่าพี่ดุ่ย ทำได้อยู่แล้วพี่ ;)
รีบกลับมาครับ ว่าที่มหาบัณฑิต แล้วมาลุยเนด้วยกัน ฮ่าๆ

ผมถึงมักจะพูดกับตัวเองเสมอว่า 
ถ้าไม่เจอพี่ดุ่ย ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง
ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ที่จะเจอคนที่มาเปลี่ยนความคิดของเราได้
(ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จริงๆ)
จริงๆมันมีอีกหลายอย่างครับ แต่ผมนึกไม่ออก
อันนี้เท่าที่คิดออกนะครับ อิอิ
ขอบคุณอีกครั้งครับ

แล้วคุณหล่ะ 
มีเทวดาประจำตัวของคุณรึยังจ๊ะ ?

ไม่มีความคิดเห็น: