หุ้น : การเล่นหุ้นเป็นอย่างหนึ่งที่เป็นที่ถกเถียงกัน เพราะทางเดินมีหลากหลายทางมาก บางคนชอบเดินทางบก บางคนบอกทางน้ำดีกว่า บางคนบอกอากาศเร็วสุด แล้วแต่คนจะเลือก
แต่สุดท้ายแล้วเป้าหมายของทุกคน คือ กำไร เพราะฉะนั้นวิธีการจะเป็นยังไงไม่สำคัญ ขอให้ไปถึงเป้าหมายเดียวกันก็พอครับ ;)))
วันนี้ผมจะมาแนะนำแนวคิด,วิธีดู,จากประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นของผม
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้เป็นคนที่เก่งอะไรมากมาย" ไม่ได้รวยจากหุ้น และก็ยังขาดทุนอยู่ แต่เมื่อผมเจอ เทคนิค(technique)ดีดี ผมก็อยากจะแนะนำครับ ไม่ได้มีเจตนาโชว์
จากประสบการณ์การเล่นหุ้น มา 5 เดือน ผมได้กำไรมาเยอะพอสมควร และก็ขาดทุนไปเยอะ
เพราะความที่คิดว่ารู้แต่จริงๆไม่รู้เลย.. ว่าหุ้นที่เราขึ้นมา ขึ้นมาได้ยังไง,แล้วทำไมถึงต้องลง, ที่สำคัญ คือไม่รู้ว่าขายตรงไหน !!!
ซึ่งผมกล้าพูดว่า ผมเพิ่งมาทราบการดูในระดับนึง เมื่อไม่นานมา 1 สัปดาห์นี้เอง (แต่ไม่ได้แม่นมากนะครับ) เพราะฉะนั้นจึงได้บทเรียนว่า "การได้กำไร ไม่ได้หมายความว่า เราเล่นหุ้นโอเคแล้ว" แต่การจะดูว่าเราเล่นหุ้นโอเครึยัง ต้องดูว่า เราเข้าหุ้นตัวนั้นเพราะอะไร แล้วควรจะขายตรงไหน แล้วถ้าย่อมา ควรจะรับตรงไหน และการตัดสินใจของเราแม่นแค่ไหน..
สำหรับผม "คนที่เล่นหุ้นที่ผมดูว่าเขาเก่งจริงๆ คือ คนที่สามารถ ทำกำไรในหุ้นที่ปั่น ตัวนั้นได้มากกว่า 1 รอบ หมายความว่า เช่น ผมจะสมมติตัวเลขทั้งหมดนะครับ หุ้น Abc มีแรงซื้อเพิ่งเข้ามาตอน 5 บาท ปรากฎว่าหุ้นวิ่งขึ้นไปที่ 6 บาท แล้วย่อลงที่ 5.30 แล้วพัก แล้วค่อยขึ้นไปที่ 6 บาทอีกครั้ง = ตรงนี้จะมีผู้เล่นหุ้น 2 ประเภท 1. คือ ถือตั้งแต่ 5 บาท จยหุ้นลงมาที่ 5.30 ครั้งนึงแล้วก็ไป 6 บาท ถ้าเขาขายตอน 6 บาท = ทำกำไรได้รอบเดียว = แต่จะมีอีกประเภท ที่ พอขึ้นไปที่ 6 ถ้าเห็นท่าไม่ดี เขาจะขายอาจไม่ได้ 6 บาท อาจได้ 5.95 และก็มารับใหม่ที่ 5.40 (5.30 อาจจะรับไม่ทันเพราะมีคนแย่งซื้อเยอะ) และสุดท้ายก็นำไปขายที่ 6 บาทที่เดิม เพราะฉะนั้นคนหลังนี้จะได้กำไร 2 รอบจากการเล่นหุ้นเพียง 1 ตัว ซึ่งต่างจากคนแรก ;))

*ก่อนหน้านี้ (เมื่อประมาณ2เดือนก่อนได้)ผมเป็นคนที่เล่นหุ้นตามข่าวและได้กำไรมาตลอด (ไม่ได้ดูกราฟนะครับ) แต่เมื่อโลกเปลี่ยน วิธีการเล่นต้องเปลี่ยนไป เพราะ ณ ช่วงที่ผมเล่นตามข่าว คือ ช่วงของ คสช. ที่เข้ามา ซึ่งแน่นอนเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายต่างๆจะต้องเปลี่ยน/เพิ่ม เข้ามา ซึ่งจะเป็นจังหวะที่ตัวผมสามารถเก็งกำไรจากข่าวได้ค่อนข้างเยอะ แต่พอนานวันไป นโยบายเริ่มลดลง ข่าวที่จะมาสนับสนุนราคาหุ้นก็น้อยลง จึงไม่ได้ตามข่าว อีกทั้งไม่ค่อยมีเวลา เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกำลังทำวิทยานิพนธ์เพื่อจะจบปริญญาโท เลยเว้นช่วงไป ซึ่งระหว่างนี้ก็เล่นมาตลอดๆ งูๆปลาๆ ไปเรื่อย
ต่อมาช่วงกันยาเป็นช่วงที่ผมดูกราฟ+vol+ดู bid offer (ตรงกราฟนี่ยังไม่ตีเทรนไลน์และยังไม่ดู tf1นาที ดูเป็นวันครับ) > เรียกง่ายๆว่ารู้ว่าต้องดูอะไร แต่ไม่รู้ว่าจะนำสิ่งที่ดูนั้นมาประยุกต์ใช้กับการเล่นของเรายังไง และได้มาขาดทุนจัดๆกับ Dimet เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ทำให้ผมต้องมานั่งทบทวนอย่างหนัก เพราะเราปล่อยให้ความโลภบังตามาก จนทำให้ต้องเสียหายหนัก (ผมเคยอ่านแนวคิดของคนประสบความสำเร็จ เขาบอกว่า เมื่อขาดทุนหนักๆ ให้หยุดมองตรงนั้นไป เพราะมันแก้อะไรไม่ได้ แต่ควรจะไปศึกษาหาความรู้เพิ่ม เพื่อมาทำกำไรต่อไป) ผมเรียบเรียงมาเปรียบกับการเล่นหุ้นนะครับ ด้วยเหตุที่ขาดทุนจัดๆจาก Dimet วันศุกร์ที่ผ่านมา ช่วงนี้ก็ท้อนะครับเพราะโดนเยอะ (และที่น่าเจ็บใจ คือ มันกลับมาที่เดิมในเวลา 2 วัน) 5555 ผมก็เลยรู้สึกว่าเอ๊ะ การเล่นหุ้นของเราตอนนี้มันไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเลยเปลี่ยนมุมมองใหม่ ผมเลยเปลี่ยนมุมมองมาให้ความสำคัญกับ กราฟ,การตีเทรนไลน์,Fibo,volume, และการบอกความหมายของแท่งเทียนแต่ละแบบ ผมเพิ่งกลับมานั่งศึกษาอย่างจริงๆจังๆ (ในระดับนึง)
ช่วงนี้ผมพอเริ่มมีเวลา ผมเลยมานั่งตั้งคำถามว่าทำอย่างไรเราจะรู้ว่าหุ้นตัวนั้นกำลังจะวิ่ง ??
ก็พบคำตอบว่า มันมีอยู่3 ทาง
1.หาหุ้นที่กราฟวางตัวว่ามันกำลังพักตัว (กราฟพักตัว คือ มีแท่งยาวขึ้นมา 1 แท่งแรก พร้อมด้วยมี Volume และมีแท่งแดง2แท่งสั้นๆ ต่อมาจากแท่งเขียวแท่งแรก แต่แท่งแดงนี้จะต้องไม่ลงไปต่ำกว่า 1 ใน 3 ของ แท่งเขียวแท่งแรกที่เป็นแท่งยาว พร้อมทั้ง Volume ของแท่งแดงต้องออกไม่ควรเกินเกือบครึ่งของ Vol แท่งแรก ซึ่งแท่งถัดไปมักจะวิ่งเสมอ
2.หุ้นที่กำลังจะ Break อันนี้ ก็คือหุ้นที่มันชนแนวต้าน แล้วมันทะลุขึ้นไป และยังคงยืนได้นั่นเอง ก็จะเป็นจังหวะที่คนจะแห่กันเข้ามา (ตรงนี้จะต้องดู Vol ประกอบนะครับ ถ้าแรงซื้อไม่มากพอ พอชนแนวต้าน มันก็มักจะย่อลงมา) แล้วเราค่อยมารอรับที่แนวรับ
3. แต่ด้วยความขี้เกียจของผม ขี้เกียจไล่ดูกราฟ วิธีที่ผมคิดว่าง่ายที่สุด คือ ดู ticker เพราะมันจะแสดงอาการผิดปกติได้ดีทีเดียว โดยจะนำตัวที่มีอาการแปลกๆ ยัดใน watchlist ไว้ แล้วรอดูครับ ตัวไหนกระพริบเยอะๆ อันนนี้น่าสนใจ
พอเห็นหุ้นที่มีคนซื้อเยอะๆ จาก ticker ผมก็จะมาไล่ดูกราฟเพื่อให้เข้าหลักว่า 1. มันเป็นหุ้นที่กำลังพักตัวหรือไม่ 2. กำลังจะ Break หรือไม่ ถ้าใช่ ก็จะมีแนวโน้มที่จะวิ่งสูง ผมก็จะดูรอ และระหว่างนั้นก็ตีเส้นแนวรับแนวต้านเลย เพื่อดูว่าโอกาสมันจะไปได้แค่ไหน กรอบมันวิ่งอยู่แค่ไหน การตีกรอบช่วยอะไรได้มากครับ เพราะมันจะทำให้เราได้รู้ว่า หุ้นตัวนี้ตอนนี้วิ่งอยู่ในกรอบราคาแค่ไหน เพราะฉะนั้นก็ไปรอซื้อที่แนวรับ แล้วขายที่แนวต้าน จบ.. และจะมาไล่ดู Vol ซึ่ง Vol ที่ผมว่านี้ หมายถึง Bid offer เพราะถ้าเราเล่นไปสักพัก เห็นหุ้นที่มันมีพฤติกรรมแปลกๆไปเยอะๆ ก็จะรู้ได้เองว่า bid offer แบบนี้แหละ มันกำลังมา สรุปก็คือดู 1.ถ้าดูกราฟแล้วเข้าทรง 2. bid offer เยอะ ลุยครับ
- ถ้าผิดทาง เช่น ไม่วิ่ง หรือวิ่งช่อง 2 ช่อง ออกครับ (ดูแรงประกอบนะครับ ถ้าแรงไม่เยอะ ผมจะไม่เข้า) หรือถ้าเข้าผิดไปแล้วจริงๆ ไม่วิ่งก็ออกครับ อาจจะขาดทุนสักช่อง2ช่อง ไม่เป็นไร ดีกว่าขาดทุนยาวครับ หรือเข้ามาแล้วมีแรงขายเทส่วน อันนี้อาจจะต้องดู vol tf 1 นาที ว่า vol ออกเยอะไหม หรือจับจาก bid offer ว่ามันมีการเทของใหม่ เทแล้วมีการเติมของใหม่ ถ้าเทอย่างเดียว ซื้อเท่าไหร่ก็ไม่ไป ออกครับ
อันนี้เป็นเพียงเบื้องต้น ตอนนี้ผมก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะหาเงินได้สัก 1000 ต่อวัน เพราะหุ้นที่ผมขึ้น มันสามารถขึ้นได้ทีละ 50 โดนไปเยอะครับ เลยเหลือแค่นี้ ฮ่าๆๆ ซึ่งเมื่อวันพฤหัสกับศุกร์ ก็ได้มา 1800 แล้ว ก็ถือว่าค่อนข้าง ok และสุดท้ายนี้ สำหรับคนที่เล่นเร็ว ก่อนเข้าเล่นตัวไหน ควรศึกษาให้ดี เพราะถ้าเข้าแล้วไม่วิ่ง หรือ ลง = การตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะฉะนั้นวิเคราะห์ให้ดีก่อน ไม่ต้องกลัวตกรถ ตอนนี้ถ้าดูดีดี โอกาสในตลาดหุ้นมีเยอะมากครับ และอีกอย่างเลือกหุ้นและสไตล์การเล่นของเราให้ตรงกัน ถ้าซื้อ jas/itd/banpu/advanc จะหวังให้มันซิ่ง ขึ้นวันละ 20-30% คงจะเป็นไปไม่ได้นะครับ ไม่เป็นไรครับ แรกๆ ไม่มีใครรู้หรอกครับ การเจอด้วยตัวเอง จะสอนเราเอง
สุดท้าย - อย่าหวังว่าจะได้เงินจำนวนมากจากหุ้นเพียงตัวเดียวการได้หุ้นมาแม้จะช่อง2ช่อง แต่ถ้ารวมกันเยอะๆแล้ว วันนึงมันก็เยอะครับ, ถ้าได้หุ้นตัวละ 100 5 ตัวก็ 5 ร้อยแล้วครับ ไม่ต้องโลภมาก แต่คว้าโอกาสให้ถูกต้องและแม่นยำพอครับ
- ถ้าคิดจะหาปลา อย่าให้คนอื่นหามาให้ครับ ให้หาให้เป็นด้วยตัวเองครับ แล้ววันนึงเราจะไม่อดตาย
- ยังไงก็ดี เรื่องความรู้ เรื่องการหาเงิน ไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นที่จะต้องกั๊กกัน การบอกทางให้ผู้อื่นไม่ได้ทำให้คุณเก่งน้อยลง (ความรู้เมื่อคุณได้ถ่ายทอดเปรียบเสมือนมีดที่ได้รับการลับให้คมยิ่งขึ้น)
- ยังไงก็ดี เรื่องความรู้ เรื่องการหาเงิน ไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นที่จะต้องกั๊กกัน การบอกทางให้ผู้อื่นไม่ได้ทำให้คุณเก่งน้อยลง (ความรู้เมื่อคุณได้ถ่ายทอดเปรียบเสมือนมีดที่ได้รับการลับให้คมยิ่งขึ้น)
ขอบคุณทักษะ แนวทางจากลุงเบน take profit ;)) เป็นทางที่ผมได้ลองศึกษาแล้วรู้สึกว่ามันเหมาะและใช้ได้จริงที่สุด สำหรับผมครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น